

ในวันออกพรรษามักจะมีพิธีอื่น ๆ ประกอบอีก คือ
1. การถวายต้นดอกเผิ้งหรือปราสาทผึ้ง การทำต้นดอกเผิ้งชาวบ้านเอาไม้ไผ่มาจักตอนสานและทำเป็นรูปปราสาท แล้วเอากาบกล้วยมาแทงหยวกเป็นลวดลายอย่างสวยงามปิดและมุง เอาขี้ผึ้งไปต้มให้เปื่อย เอาผลมะละกอดิบมาแกะสลัก ติดด้ามด้วยไม้ จุ่มลงในน้ำผึ้งแล้วจุ่มลงในน้ำเย็น ทำเป็นรูปดอกไม้ซึ่งเรียกว่า "ดอกเผิ้ง" ตรงกลางมีขมิ้นทำเป็นเกสร เอาไม้มาเสียงเกสรติดกับดอกเผิ้ง แล้วเอาไปเสียบติดกันกาบกล้วยที่ต้นปราสาทจัดระยะถี่ห่างอย่างสวยงาม ข้างในหอปราสาทมีขนมข้าวต้ม กล้วยอ้อย เสื่อหมอน ฯลฯ ข้างนอกแขวนและประดับประดาด้วยผ้าแพร กระดาษดินสอ ไม้ขีด ฝ้ายไหม ฯลฯ พร้อมปัจจัย ตอนเย็นหรือค่ำก็แห่กันอย่างสนุกสนานครึกครื้นไปที่วัด เวียนรอบศาลาโรงธรรม 3 รอบ แล้วนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ เพื่อบูชาพระรัตนตรัยและอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อทำพิธีถวายเสร็จแล้ว มีการฟังเทศน์ฉลองต้นเผิ้งและพระกล่าวคำอนุโมทนาให้พรเป็นเสร็จพิธี การทำต้นเผิ้งส่วนมากชาวบ้านรวมกันทำเป็นกลุ่ม ๆ แล้วแต่ศรัทธา วัดหนึ่ง ๆ มักมีการถวายต้นดอกเผิ้งจำนวนหลาย ๆ ต้น มูลเหตุที่จะมีการถวายต้นดอกเผิ้ง มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่ป่ารักชิตวันมีช้างและลิงเป็นผู้อุปฐาก ช้างเป็นผู้มีหน้าที่ตักน้ำและต้มน้ำถวาย ส่วนลิงทำหน้าที่หาผลไม้ รวงผึ้งและน้ำผึ้งมาถวายรวงผึ้งที่คั้นเอาน้ำผึ้งถวายพระพุทธเจ้าฉันแล้ว เหลือแต่ขี้ผึ้งมีผู้เห็นประโยชน์จึงนำไปทำเทียนมาถวายและได้ทำเป็นต้นตกแต่งประดับประดาให้สวยงามแล้วแห่ไปถวาย ซึ่งกลายเป็นต้นปราสาทผึ้ง การถวายต้นดอกเผิ้งหรือปราสาทผึ้งจึงเป็นประเพณีสืบต่อกันมาช้านานจนกระทั่งทุกวันนี้
2. การล่องเฮือไฟ คือ เรื่อหรือแพที่ทำด้วยห่อนกล้วยหรือไม้ไผ่ ยาวประมาณ 3-4 เมตรหรือยาวกว่านี้ ทำร้านหรือราวขึ้นสำหรับจุดไต้และเสียบธูปเทียน เฮือไฟอาจยกโครงขึ้นเป็นรูปต่าง ๆ ได้แก่ รูปสัตว์ เช่น ช้าง ม้า จระเข้ พญานาค ฯลฯ หรือรูปปราสาท บ้านเรือน เป็นต้น และตกแต่งอย่างสวยงาม มูลเหตุที่มีการล่องเฮือไฟ จุดประสงค์เพื่อเป็นการบูชาและคารวะแม่คงคา และสักการะพระพุทธบาทนัมทานที แล้วน้อมจิตอธิษฐานขอให้ผู้บูชาประสบแต่ความสุข ความเจริญยิ่งขึ้นไป พิธีจัดทำ พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด หรือแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ชาวบ้านและพระภิกษุสามเณรช่วยกันทำเฮือไฟลอยไว้ริมน้ำ ถึงตอนใกล้เที่ยงถวายภัตตาหารเพลที่ท่าน้ำหรือถวายที่วัดก็ได้ ตอนบ่ายมีการเล่นฟ้อนรำฉลองเฮือไฟ ตอนเย็นมีการฟังพระสวดมนต์และฟังเทศน์ที่วัด พอค่ำชาวบ้านนำเครื่องบริขารต่าง ๆ เช่น ขนม ข้าวต้ม กล้วย อ้อย หมากพลูบุหรี่ ฯลฯ ใส่กระตาดหรือกระทงบรรจุไว้ในเฮือไฟ แต่บางแห่งคงมีแต่ดอกไม้ธูปเทียนเท่านั้นไปวางไว้ที่เฮือไฟ ครั้งได้เวลา คือ ประมาณ 1 ถึง 2 ทุ่ม ก็จุดได้ หรือคบเพลิง ซึ่งประดับไว้ในเฮืดไฟให้สว่าง ชาวบ้านจุดธูปเทียนเป็นพุทธบูชาและคารวะแม่คงคา อธิษฐานให้มีความสุขความเจริญเสร็จแล้ว นำดอกไม้ธูปเทียนไปวางหรือปักไว้ในเฮือไฟแล้ว จึงปล่อยเฮือไฟออกจากฝั่ง ลอยไปตามลำแม่น้ำแลดูสว่างไสวและเป็นทิวแถวสวยงามมาก
3. การส่วงเฮือ การส่วงเฮือ หมายถึง การนำเรือมาแข่งกันด้วยฝีพาย ชาวอีสานจะกำหนดแข่งเรือกันในวันใดวันหนึ่ง ระหว่างเดือนสืบถึงเดือนสิบสอง ระหว่างเข้าพรรษาหรือภายหลังนั้นเล็กน้อย เช่น ในวันทำบุญข้าวสาก บางแห่งนิยมจัดแข่งขันกัน ในวันออกพรรษาและยึดเวลาไปถึงเดือนสิบสองก็มี เรือที่แข่งคือ เรือขุดบรรจุคนได้ตั้งแต่ 20 คน ถึง 150 คน วัดใดหรือหมู่บ้านใดที่อยู่ใกล้แม่น้ำ หรือลำคลองมักมีเรือแข่งไว้เป็นประจำเมื่อถึงวันแข่งชาวบ้านจะประกาศหรือนัดให้คนหมู่บ้านอื่นที่มีเรือแข่งมาก "ส่วงเฮือ" กันเป็นประเพณีที่ทำให้ผู้มาร่วมงานสนุกสนาน ได้มีโอกาสพบปะวิสาสะกัน จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำโขง เช่น หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี และจังหวัดเลย (เฉพาะอำเภอเชียงคาน) มักจัดประเพณีส่วงเฮืดกันทุกไปและจัดทำใหญ่โตมีการแข่งขันกัน
คำถวายผ้าจำนำพรรษา
อิมานิ มะยังภันเต วัสสาวาสิกานิ สังฆัสสะ โอโรฃณชะยามะ สาธุโน ภันเต สังโฆ อิมานิ วัสสาวาสิกานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
คำแปล
คำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจำพรรษาเหล่านี้ แก่พระสงฆ์ แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์ให้โอกาสรับผ้าจำนำพรรษาเหล่านี้ เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ
คำถวายปราสาทผึ้ง
มะยัง ภันเต อิมัง สะปะริวารัง มะธุปุบผะปาสาทัง อิมัสมิง วิหาเร สังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต สังโฆ อิมัง สะปะริวารัง มะธุปุปผะปาสาทัง ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัญเจวะ มาตาปิตะอาทีนัง ญาตะกานัญจะกาละกะตานัง ทีฆะรัตตัง สุขายะ
คำแปล
คำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ปราสาทผึ้งกับทั้งบริวารนี้ แก่พระสงฆ์ในวิหารนี้ ขอพระสงฆ์จงให้โอกาสรับปราสาทผึ้ง กับทั้งบริวารนี้ เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย และญาติทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น ผู้ล่วงลับไปแล้ว ตลอดกาลนานเทอญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น