วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

การพัฒนาทักษะการคิด

ในการพัฒนาสมองของผู้เรียน ให้ใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ผ่าการจัดการเรียนการสอนนั้น ควรจัดอย่างสมดุล ให้มีการพัฒนาสมอง ทั้งซีกซ้ายไปด้วยกัน ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสมดุล ในการคิด และคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เอนเอียงไปในหลักการเหตุผลมาก เสียจนคิดอยู่ในกรอบ ของความคิดแบบเดิม
ยุคอนาคตนั้น การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในอัตราเร่งที่เร็วมากขึ้น เพราะมีการสื่อสารความคิด และความรู้สึกกันได้ อย่างง่ายดาย และอย่างกว้างขวาง ด้วยวิทยาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้มีการก่ายกันขึ้นไปบนฐานความรู้ ที่นับวันฐานนั้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น คนที่จะได้รับการยอมรับอย่างโดดเด่น จึงต้องเป็นคนที่คิด และทำ แตกต่างจากคนอื่นทั่วไป นั่นคือ มีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะต่องานที่ต้องการ ความแปลกแตกต่าง เช่น ธุรกิจ ต้องการสร้างจุดขายสินค้า หรือบริการเพื่อดึงดูดลูกค้าอยู่เสมอ องค์กรต่างๆ ต้องการการปฏิรูปภายใน ภาพรวมระดับประทศ ต้องการความคิดสร้างสรรค์ ในการปฏิรูปครบวงจร ทั้งประเทศ เป็นต้น กิจการเหล่านี้ ล้วนต้องการคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ทั้งสิ้น
ความคิดสร้างสรรค์ในนิยามของผม ควรจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ ประการแรก สิ่งใหม่ (new, original) เป็นการคิดที่แหวกวงล้อมความคิดที่มีอยู่เดิม ที่ไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร แม้กระทั่งความคิดเดิมๆ ของตนเอง ประการที่สอง ใช้การได้ (workable) เป็นความคิดที่เกิดจากการสร้างสรรค์ที่ลึกซึ้ง และสูงเกินกว่าการใช้เพียง "จินตนาการเพ้อฝัน" คือ สามารถนำมาพัฒนาให้เป็นจริง และใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม และสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ ของการคิดได้เป็นอย่างดี และประการที่สาม มีความเหมาะสม เป็นความคิดที่สะท้อนความมีเหตุมีผล ที่เหมาะสม และมีคุณค่า ภายใต้มาตรฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
การที่คนเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ ได้ตามลักษณะที่กล่าวมานั้น ขึ้นอยู่กับศักยภาพการทำงาน และการพัฒนาของสมอง ซึ่งสมองของคนเรามี 2 ซีก มีการทำงานที่แตกต่างกัน สมองซีกซ้าย ทำหน้าที่ในส่วนของการตัดสินใจ การใช้เหตุผล สมองซีกขวา ทำหน้าที่ในส่วนของการสร้างสรรค์ แม้สมองจะทำงานต่างกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมองทั้งสองซีก จะทำงานเชื่อมโยงไปพร้อมกัน ในแทบทุกกิจกรรมทางการคิด โดยการคิดสลับกันไปมา อย่างเช่น การอ่านหนังสือ สมองซีกซ้ายจะทำความเข้าใจ โครงสร้างประโยค และไวยากรณ์ ขณะเดียวกัน สมองซีกขวาก็จะทำความเข้าใจ เกี่ยวกับลีลาการดำเนินเรื่อง อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในข้อเขียน ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาสมองทั้งสองซีกไปพร้อมๆ กัน ไม่สามารถแยกพัฒนาในแต่ละด้านได้ การค้นพบหน้าที่แตกต่างกันของสมองทั้งสองส่วน ช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากได้มากขึ้น
ในการพัฒนาสมองของผู้เรียน ให้ใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ผ่านการจัดการเรียนการสอนนั้น ควรจัดอย่างสมดุล ให้มีการพัฒนาสมองทั้งสองซีกไปด้วยกัน ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสมดุลในการคิด และคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เอนเอียงไปในหลักการเหตุผล มากเสียจนติดอยู่ในกรอบ ของความคิดแบบเดิม และไม่ใช่การคิดด้วยการใช้จินตนาการเพ้อฝันมากเกินไป จนไม่มีความสัมพันธ์กัน ระหว่างความฝัน กับความสมเหตุสมผล ซึ่งจะทำให้ไม่สมารถนำมาปฏิบัติให้เป็นจริงได้ ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การคิดสร้างสรรค์ จึงพึ่งพาทั้งสมองซีกซ้าย และขวาควบคู่กันไป
อย่างไรก็ตาม การที่คนแต่ละคนจะคิดสร้างสรรค์ได้มากน้อย เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสำคัญหลายประการ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีควรมีทุกคน เพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ในตนเอง ได้แก่
1. องค์ประกอบด้านทัศนคติ และบุคลิกลักษณะ
คนที่รู้เพียงเทคนิควิธีการคิดสร้างสรรค์นั้น อาจจะสามารถคิดเชิงสร้างสรรค์ได้ในระดับหนึ่ง แต่หากมีทัศนคติ และบุคลิกภาพในเชิงที่สร้างสรรค์ เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย บุคคลนั้นจะสามารถคิดสร้างสรรค์ ได้อย่างดีมาก นักคิดสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ จะมีทัศนคติ และบุคลิกลักษณะหลายประการ อาทิ เป็นคนที่เปิดกว้างต่อการรับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยท่าทีที่ยินดี จะเรียนรู้เสมอ มีอิสระในการคิดพินิจ และตัดสินใจ กล้าเผชิญความเสี่ยง มีความเชื่อมั่น และเป็นตัวของตัวเอง มีทัศนคติเชิงบวก ต่อสถานการณ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มีแรงจูงใจอันสูงส่ง ที่จะประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ยินดีทำงานหนัก มีความสนใจต่อสิ่งที่มีความสลับซับซ้อน อดทนต่อปัญหาที่ยังมองไม่เห็นทางออก หรือคำตอบ บากบั่น อุตสาหะ เรียนรู้จากความล้มเหลว ให้เป็นบทเรียนของชีวิต และสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยมีความสุขุม และมีความมั่นคงในจิตใจเพียงพอ
2. องค์ประกอบด้านความสามารถทางสติปัญญา
ความคิดสร้างสรรค์ จัดว่าเป็นทักษะระดับสูง ของความสามารถทางสติปัญญา ความสามารถเหล่านี้ ได้แก่
ความสามารถในการกำหนดขอบเขต ของปัญหา ผู้มีความคิดสร้างสรรค์ จะไม่มองปัญหาที่เห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาธรรมดา หรือด้วยความคิดที่ไม่สู้ แต่มองด้วยมุมมองแบบใหม่ เพื่อทำให้เห็นทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่เหมาะสมกว่า โดยเริ่มต้นด้วยการให้นิยาม หรือกำหนดขอบเขตของปัญหา ที่ต้องการแก้ไขได้อย่างชัดเจน จากนั้นจึงตั้งเป้าหมาย เพื่อหาทางแก้ปัญหานั้น ในแนวทางที่สร้างสรรค์กว่าเดิม
ความสามารถในการใช้จินตนาการ ในการพิจารณาปัญหา เพื่อนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ การวาดภาพจากจินตนาการ ช่วยทำให้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เกิดได้ง่ายขึ้น เช่น การที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) สามารถพัฒนาทฤษฎีสัมพันธภาพ ได้จากการวาดภาพว่า ตนเองกำลังท่องเที่ยวไปบนลำแสง ที่ยาวไกลลำแสงหนึ่ง
ความสามารถในการคัดเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ มีลักษณะดังเช่น ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ความสามารถในการมุ่งสู่หนทาง การแก้ปัญหาที่มีศักยภาพ ความสามารถในการตัดทางเลือก ที่ไม่เกี่ยวข้องออก ความสามารถในการรู้ว่า เวลาใดจะต้องใช้การคิดแบบใด จึงจะเหมาะสม และช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ เป็นต้น
ความสามารุในการประเมินอย่างมีประสิทธิภาพ การที่เราจะได้ความคิดสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดนั้น เราควรจะมีความสามารถ ในการแยกแยะ และคัดเลือกความคิดที่ดี และเหมาะสมท่ามกลางแนวความคิด ที่เป็นไปได้มากมาย โดยคัดเลือกเฉพาะความคิด ที่มีความสอดคล้องกัน มารวบรวมประกอบกัน เพื่อสร้างเป็นความคิดใหม่ขึ้น และนำความคิดใหม่ที่ได้นั้น มาพิจารณาประเมินคุณค่า ในลำดับต่อไป ความสามารถในการประเมิน ทำให้เกิดคววามก้าวหน้าในการแก้ปัญหา อันเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับ ความปรารถนาที่จะให้ได้คำตอบ ที่มีคุณภาพสูง เป็นสิ่งใหม่ที่ดีกว่า และมีความเหมาะสมยิ่งกว่า
3. องค์ประกอบด้านความรู้ ความรู้เป็นเหมือนดาบสองคม ที่มีผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ ทั้งในมุมบวก และมุมลบ จากการศึกษาวิจัยของ Rosenman, M.F. ใน Jurnal of Creative Behavior ใน 1988 พบว่า ความรู้ที่สะสมมาเป็นเวลาหลายปีนั้น มีความสำคัญต่อการทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ คนที่มีความรู้ มักจะคิดสร้างสรรค์ได้ดีกว่าคนที่ไม่มีความรู้ เพราะทำให้เข้าใจธรรมชาติของปัญหาได้กว้าง และลึกซึ้งกว่าคนที่ขาดฐานข้อมูลความรู้ ช่วยทำให้เราสามารถคิดงานที่มีคุณภาพ เพราะมีรากฐานของความรู้ เกี่ยวกับเรื่องนั้นรองรับ และช่วยกระตุ้นให้มีการคิดต่อยอดความรู้ต่อไป อันเกิดจากการได้รับความรู้เพิ่มเติม เพื่อนำความรู้ที่ได้รับ หรือมีอยู่ มาขบคิด และก่อร่างขึ้นเป็นต้นกำเนิดของความคิดอื่นๆ ตามมา อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้าม ความรู้กลับอาจเป็นตัวขัดขวาง ความคิดสร้างสรรค์ได้ด้วย หากยึดติดในความรู้ที่มีอยู่มากเกินไป จนเป็นอุปสรรค ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการคิดออกนอกกรอบ หรือคิดจากมุมมองใหม่ๆ ที่กว้างขวางขึ้น
4. องค์ประกอบด้านรูปแบบการคิด รูปแบบการคิดของแต่ละคน มีผลต่อการรับรู้ และบุคลิกลักษณะของคนๆ นั้น รูปแบบการคิดจะช่วยให้เกิดการประยุกต์ ความสามารถทางสติปัญญา และความรู้ของคนๆหนึ่ง ในการแก้ปัญหา คนสองคนอาจจะมีระดับสติปัญญาเท่าเทียมกัน ต่างกันตรงรูปแบบการคิด งานวิจัยหลายชิ้นบ่งบอกว่า รูปแบบการคิดของคนบางคน ช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่รูปแบบการคิดของบางคน ขัดขวางการคิดสร้างสรรค์ เช่น ความสมดุลในการคิด แบบมองมุมกว้าง กับการคิดแบบมองมุมแคบ การคิดในมุมแคบ เป็นการคิดแบบลงในรายละเอียดของปัญหา ส่วนการคิดในมุมกว้าง เป็นการคิดแบบมองกว้าง ในระดับทั่วไปของปัญหา ซึ่งการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มักจะต้องมองในภาพกว้างก่อน หรือคิดในมุมกว้างก่อน จากนั้น จึงค่อยพิจารณาลงในรายละเอียดปลีกย่อย เพื่อให้ได้ความคิดสร้างสรรค์ ให้ได้ความคิดสร้างสรรค์ที่สมบูรณ์ที่สุด
5. องค์ประกอบด้านแรงจูงใจ แรงจูงใจเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ที่กระตุ้นให้คนต้องการคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมีทั้งแรงจูงใจภายใน และแรงกระตุ้นจากภายนอก แรงจูงใจกระตุ้นจากภายใน ที่มีประโยชน์ต่อความคิดสร้างสรรค์ เช่น ความต้องการประสบความสำเร็จ ความต้องการสิ่งใหม่ๆ การตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น เป็นต้น คนที่มีแรงกระตุ้นจากภายใน มักจะบอกว่า เขาทำงานนี้ เพราะรู้สึก "สนุก" หรือไม่ก็ค้นพบว่า มัน "น่าสนใจ" และจะพึงพอใจ เมื่องานที่ทำนั้นประสบความสำเร็จ ส่วน แรงกระตุ้นจากภายนอก จะมีลักษณะตรงกันข้าม คือ การที่สิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นผู้ยื่นเสนอรางวัล ยกตัวอย่างเช่น เงิน ความก้าวหน้าในการทำงาน การได้รับการยกย่องจากหัวหน้างาน การมีชื่อเสียง การได้รับรางวัล เป็นต้น จากการศึกษา พบว่า คนที่ถูกกระตุ้นด้วยรางวัลนั้น จะมีความคิดสร้างสรรค์ต่ำกว่า คนที่มีแรงกระตุ้น จากความต้องการที่อยู่ภายใน หรือการได้รางวัลที่ไม่เกี่ยวข้อง กับงานที่ทำอยู่ อย่างไรก็ตาม แรงจูงใจจากภายใน และภายนอกที่ผสมผสานกันอย่างสมดุล จะช่วยให้การทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์ บรรลุวัตถุประสงค์ได้เป็นอย่างดี
6. องค์ประกอบด้านสภาพแวดล้อม การที่คนเราจะสามารถคิดสร้างสรรค์ ได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมร่วมด้วยเป็นสำคัญ คนที่มีลักษณะการสร้างสรรค์ มักเป็นผู้ที่ได้รับการกระตุ้น และได้รับการส่งเสริมสนับสนุน โดยการสร้างบรรยากาศ ที่ไม่มีการสร้างกรอบมาตรฐานมาบีบรัด อันได้แก่ สังคมที่ส่งเสริมสิทธิแสรีภาพ ในการแสดงออกของประชาชน สังคมที่ส่งเสริมความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม สังคมที่มีแบบอย่าง คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ สังคมที่ให้รางวัล และสนับสนุนคนที่คิดแตกต่าง สังคมที่ส่งเสริมการแข่งขัย ทางธรกิจอย่างเสรี บริบทสังคมเช่นนี้ ย่อมส่งเสริมให้คในสังคมนั้น มีความคิดสร้างสรรค์
ในทางตรงกันข้าม คนบางคน หรือกลุ่มคนในบางสังคม อาจเรียกได้ว่า เป็นคนที่ขาดความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่หล่อหลอมให้พัฒนาการทางความคิดสร้างสรรค์ ของคนในสังคมนั้นๆ หยุดชะงักลง เช่น สังคมที่ยึดมั่นการดำเนินชีวิต ตามขนบธรรมเนียมประเพณีสังคม ที่มีลักษณะเผด็จการ ทำให้คนในสังคม ไม่กล้าคิดนอกกรอบ สังคมที่ไม่เห็นคุณค่าความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยอมรับความคิดที่คนๆ หนึ่งได้สร้างสรรค์ขึ้น และสังคมที่ไม่มีการสอนทักษะการคิดสร้างสรรค์ เช่น การเรียนการสอน ที่เน้นการท่องจำ โรงเรียนไม่มีบรรยากาศ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระ จึงทำให้ผู้เรียนเติบโตขึ้น อย่างขาดทักษะในการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น บริบทแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้ มีผลทำให้การพัฒนาความสามารถ ด้านการคิดสร้างสรรค์หยุดชะงักลง
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบ ที่มีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สอน ในการนำไปประยุกต์เข้ากับ การจัดการเรียนการสอน เพื่อคิดหาเทคนิควิธีการ เพื่อนำมาฝึกฝนให้ผู้เรียน สามารถเป็นนักคิดสร้างสรรค์ที่ดีได้ นั่นหมายความว่า จะต้องเกิดการคิดสร้างสรรค์ เริ่มต้นที่ ผู้จัดการเรียนการสอนโดยตรงเสียก่อน ที่จะไม่ยึดกับกรอบรูปแบบเดิม หากรูปแบบเดิมนั้น ขัดขวางการคิดสร้างสรรค์ในผู้เรียน

ที่มา
เอกสารการสอนของท่านอาจารย์จตุพร ภูศิริภิญโญ

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

คลองสิบสี่

http://www.pininterclub.com/index.php?option=com_content&task=view&id=75&Itemid=53




หมายถึง ข้อกติกาของสังคม ๑๔ ประการที่ยึดถือปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม มีดังนี้
๑. เมื่อได้ข้าวใหม่หรือผลหมากรากไม้ ให้บริจาคทานแก่ผู้มีศิลแล้วตนจึงบริโภคและแจกจ่ายแบ่งญาติพี่น้องด้วย
๒. อย่าโลภมาก อย่าจ่ายเงินแดงแปงเงินคว้าง และอย่ากล่าวคำหยาบช้ากล้าแข็ง
๓.ให้ทำป้ายหรือกำแพงเอือนของตน แล้วปลูกหอบูชาเทวดาไว้ในสี่แจ(มุม)บ้านหรือแจเฮือน
๔.ให้ล้างตีนก่อนขึ้นเฮือน
๕.เมื่อถึงวันศีล ๗-๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ ให้สมมาก้อนเส้า สมมาคีงไฟ สมมาขั้นบันได สมมาผักตู(ประตู)เฮือนที่ตนอาศัยอยู่
๖. ให้ล้างตีนก่อนเข้านอนตอนกลางคืน
๗. ถึงวันศีล ให้เมียเอาดอกไม้ธูปเทียนมาสมมาสามี แล้วให้เอาดอกไม้ ไปถวายสังฆเจ้า
๘. ถึงวันศิลดับ ศิลเพ็ง ให้นิมนต์พระสงฆ์มาสูดมนต์เฮือน แล้วทำบุญตักบาตร
๙. เมื่อภิกษุมาคลุมบาตร อย่าให้เพิ่นคอย เวลาใส่บาตรอย่าซุน(แตะ)บาตร อย่าซูนภิกษุสามเณร
๑๐. เมื่อภิกษุเข้าปริวาสกรรม ให้เอาขันขันข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน และเครื่องอัฐบริขารไปถวายเพิ่ม
๑๑. เมื่อเห็นภิกษุ เดินผ่านมาให้นั่งลงยกมือไหว้แล้วจึงค่อยเจรจา
๑๒. อย่าเงียบ(เหยียบ)เงาพระสงฆ์
๑๓. อย่าเอาอาการเงื่อน(อาหารที่เหลือจากการบริโภค)ทานแก่สังฆเจ้าและอย่าเอาอาหารเงื่อนให้สามีตัวเองกิน
๑๔. อย่าเสพกามคุณในวันศิล วันเข้าวัดสา วัดออกพรรษา วันมหาสงกรานต์และวันเกิดของตน



12.เดือนสิบสอง บุญกฐิน

การทำบุญกฐิน เป็นการถวายผ้าแต่สงฆ์ซึ่งจำพรรษาแล้ว ชาวอีสานทำบุญกฐินตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองเช่นเดียวกับทางภาคกลางการทอดกฐินมีมาแต่โบราณกาล เพราะมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุแสวงหาผ้า และรับกฐินได้ตามกำหนดเวลาดังกล่าวบุญกฐินทางภาคอีสานมีวิธีการกับการทอดกฐินในภาคกลางแทบทุกประการ คือ มีกฐินราษฏร์ ได้แก่ กฐินที่ประชาชนร่วมกันจัดให้มีขึ้น และกฐินหลวง ได้แก่ กฐินที่ทางราชการจัดขึ้น แม้จะเป็นกฐินที่ข้าราชการในระดับจังหวัดหรือระดับอำเภอร่วมกันจัดขึ้น ชาวบ้านมักเรียกว่า กฐินหลวงเช่น กัน นอกนี้ จุลกฐินซึ่งสาวอีสานเรียกว่า กฐินแล่น มูลเหตุที่มีการทำบุญกฐิน มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุชาวเมืองปาฐาจำนวน 30 รูป พากันเดินทางจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งเสด็จประทับอยู่ที่ พระเชตวันมหาวิหาร แต่เนื่องจากการเดินทางเป็นวันที่จวนใกล้กำหนดเข้าพรรษาทั้งหนทางระยะไกลและลำบาก พระภิกษุเหล่านั้นจึงไม่สามารถไปให้ถึงพระเชตวันมหาวิหารได้ ก็พอดีกำหนดเข้าพรรษาเสียก่อน พระภิกษุทั้ง 30 รูป จึงต้องหยุดจำพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกตออกพรรษาแล้วจึงพากันรีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่โดยเหตุที่หนทางไกลดังกล่าว และพอดีฝนตกจึงทำให้ผ้าจีวรของพระภิกษุเหล่านั้นเปียกน้ำและเปื้อนโคลนตมมาก พอไปถึงพระเชตวันมหาวิหาร ก็พากันตรงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทันที พระพุทธเจ้าทรงเห็นพระภิกษุที่มาเฝ้านุ่งห่มจีวรเปื้อนเปรอะ และจีวรที่จะใช้ผลัดเปลี่ยนก็ไม่มี เมื่อพระองค์ทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุเช่นนั้น จึงมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้มีกำหนด 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ถึงวันเพ็ญ เดือนสิบสองดังกล่าวข้างต้น จึงมีประเพณีทอดกฐินกันต่อ ๆ มา วิธีดำเนินการ ก่อนถึงวันทอดกฐิน ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาจะทอดกฐิน จะไปเลือกหาวัดที่จะทอดเมื่อหาได้แล้วก็ไปจองไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ทางวัดรู้ตัว และมีเวลาเตรียมรับรองในวันทอด ทั้งจะไม่เป็นการทอดกฐินซ้ำกันในวัดนั้นด้วย วัดที่จองส่วนมากเป็นวัดที่อยู่ในหมู่บ้านอื่นแต่บางทีก็เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ชาวบ้านจะทำบุญก็มีเมื่อถึงวันทอดกฐินชาวบ้านหรือผู้จะทำบุญกฐิน ตระเตรียมองค์กฐิน ที่จำเป็นต้องมีก็ได้แก่ผ้าไตรจีวรหรือผ้าสามผืน คือ สบง จีวร และสังฆาฏิ หรืออัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ ผ้าจีวร ผ้าสังฆาฏิผ้าสบง สายรัดประคด มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ บาตร เข็มเย็บผ้า และธมกรก (เครื่องใช้กรองน้ำให้สะอาด)
นอกนี้อาจมีบริขารอื่น ๆและเครื่องไทยทานสำหรับถวายพระ ส่วนมากมีการบอกบุญให้ญาติมิตรและผู้รู้จักคุ้นเคยให้มาร่วมทำบุญด้วยก่อนจะนำองค์กฐินไปทอดมักมีการคบงันด้วยมหรสพต่าง ๆ แล้วแต่เจ้าภาพจะจัด พอวันรุ่งขึ้นก็เคลื่อนกระบวนออกเดินทางไปสู่วัดที่จะทอด กะเวลาให้ถึงวัดทันเลี้ยงเพลพระ ก่อนเลี้ยงเพลพระหรือเสร็จเลี้ยงเพลพระแล้วจะได้ทอดกฐิน ถ้าเป็นวัดอยู่ระยะทางไกล ก็ต้องเคลื่อนกระบวนเดินทางไปแต่เช้ามืดเพื่อให้ทันเวลา บางแห่งต้องเดินทางไปล่วงหน้าโดยนอนค้างคืนที่หมู่บ้าน หรือวัดที่จะทอดกฐินหนึ่งคืนขณะที่จะทำการทอดมักมีการแห่แหนกันคึกคืนสนุกสนานถ้าเป็นทางบกก็ไปโดยเดินเท้า รถยนต์ และล้อเกวียน เป็นต้น กระบวนแห่จะมีกลอง ฆ้อง และเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น แคน แตรวง ฯลฯ และมีการร้องรำทำเพลงไปด้วย ขณะองค์กฐินผ่านไป ชาวบ้านจะมาคอยต้อนรับและนำปัจจัยมาร่วมบริจาคทาน บางทีก็ร่วมกระบวนแห่ไปด้วย เมื่อถึงวัดหากมีเวลาอาจทอดกฐินทันทีหรือไม่ก็จะเลี้ยงเพลพรเณรและเลี้ยงบรรดาผู้มาแห่ แล้วจึงอดกฐิน โดยชาวบ้านเจ้าของวัดเป็นเจ้าภาพ ได้เวลาทอดกฐินพระสงฆ์ลงโบสถ์ ผู้ไปร่วมงานบุญชุมนุมกันแล้วจัดขบวนแห่ มีคนเดินตามกันเป็นแถวยาวยืดเสียงแห่ครื้นไปทั่วบริเวณวัดทำประทักษิณเวียนรอบโบสถ์สามรอบ แล้วจึงเข้าโบสถ์ทำพิธีถวายผ้ากฐินและบริขารเป็นเสร็จพิธี สำหรับการทอดกฐินที่เจ้าภาพอยู่ห่างไกล ซึ่งจำเป็นต้องมาพัก ณ หมู่บ้านหรือวัดที่จะทอดกฐิน หรือเจ้าภาพที่จะทอดกฐินอยู่ในหมู่บ้านนั้นเอง กำหนดการทอดกฐินดังกล่าวบางทีร่นมาตอนเช้า คือ เมื่อถวายอาหารบิณฑบาตตอนเช้าเสร็จ ก็จะทำพิธีแห่และนำกฐินไปถวายเลยก็ได้ที่กล่าวมานี้ เป็นการทอดกฐินโดยทั่วไป ส่วนจุลกฐินหรือกฐินแล่นนั้น นอกจากมีการจัดบริขารต่าง ๆ และทำพิธีทอดดังกล่าวแล้ว การทำผ้าไตรจีวรเพื่อเป็นกฐิน จะต้องเริ่มแต่การนำปุยฝ้ายมาหีบ มาปั่น มากรอเป็นเส้นด้าย แล้วทอเป็นผืนผ้าและตัดเย็บตลอดการย้อมสีเป็นไตรจีวรให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง คือ ให้ทันใช้เป็นผ้ากฐินได้ในวันรุ่งขึ้นกฐินแล่นนี้ไม่ค่อยนิยมทำกันนักเนื่องจากเป็นการลำบากมากเจ้าภาพจะต้องมีฐานะดีพอสมควร มีญาติพี่น้องคอยให้ความร่วมมือและมีอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อม เพราะต้องใช้จ่ายเงินเป็นค่าเลี้ยงดูต้องหาเครื่องมือหลายอย่าง ต้องมีญาติพี่น้องคอยให้ความร่วมมือ และมีอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อม เพราะจะต้องใช้จ่ายเงินเป็นค่าเลี้ยงดูต้องหาเครื่องมือหลายอย่าง และต้องมีญาติพี่น้องมาช่วยกันหลายคน จึงจะทำได้จุลกฐินหรือกฐินแล่น มักทำกันเมื่อจวนหมดเขตบุญกฐิน และถือว่าการทอดกฐินอย่างนี้ได้อานิสงส์แรงกว่าทอดกฐินธรรมดาเป็นสิบเท่า การทอดกฐินของชาวภาคอีสาน สิ่งที่เห็นแปลกไปกว่าภาคกลาง คือ การแปลงทางกฐิน ได้แก่การปรับตกแต่งถนนหนทางที่ขบวนกฐินจะผ่านไปให้สะอาดเรียบร้อยสวยงาม เพื่อให้ขบวนแห่กฐินเดินทางไปด้วยความสะดวก ชาวบ้านเมื่อรู้ว่าจะมีกฐินมาทอดหมู่บ้านของตนก็จะพากันไปช่วยกันถากถางหนทางที่องค์กฐินจะผ่านแม้ทางระหว่างหมู่บ้านหนึ่งกับอีกหมู่บ้านหนึ่งก็พากันไปถางตามหนทาง และพยายามซ่อมแซมถนนหนทางให้เรียบร้อยเพราะถือว่าการทำทางกฐินผ่านนี้ได้กุศลแรงมาก ชาวบ้านจึงนิยมสละแรงงาน และทรัพย์ช่วยกันจัดทำ โดยเหตุนี้เมื่อหมู่บ้านใดทางไปมายังไม่ค่อยสะดวก ผู้มีจิตศรัทธาบางท่าน จึงมักนำกฐินไปทอดเพื่อให้ได้กุศลสองอย่าง คือ ได้ทั้งบุญในการทอดกฐินและได้กุศลในการทำให้ทางไปมาสะดวกด้วย เมื่อเตรียมทางเสร็จในวันขบวนกฐินผ่าน ชาวบ้านจะปลูกต้นกล้วย ต้นอ้อยและไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ ตามสองข้างทางในละแวกหมู่บ้านติดต่อกันไปจนถึงเขตทางเข้าวัด และชาวบ้านบางแห่งจะเอาผ้าปูบนเส้นทางที่ขบวนกฐินจะผ่านไปด้วยที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า บุญกฐินเป็นงานบุญสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะนอกจากเป็นการถวายจีวรและบริขารต่าง ๆแด่พระภิกษุสงฆ์แล้ว ยังจะได้ปัจจัยบูรณะบำรุงวัดและได้ประโยชน์อย่างอื่น รวมทั้งเป็นการก่อให้เกิดความสามัคคีธรรมในหมู่ประชาชนให้เกิดขึ้นด้วย จึงควรสนับสนุนให้คงมีอยู่ตลอดไป

คำถวายผ้ากฐิน
(แบบธรรมยุต)อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต สังโฆ อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะทุสสังปะฏิคคัณหาตุ ปะฏิคคะเหตวา จะ อิมนา ทุสเสนะ กฐินะ อัตถะระตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
คำแปล
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรเพื่อกฐินกับทั้งบริวารเหล่านี้อันประกอบด้วยธรรม อันได้มาโดยชอบธรรม แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงให้โอกาสรับ ผ้าจีวรเพื่อกฐินกับทั้งบริวารนี้ครั้นรับแล้ว ขอจงปราบกฐิน ด้วยผ้าจีวรนี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ

11.เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา


บุญออกพรรษาจัดทำในวันนั้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ในวันนี้ในตอนเช้าชาวบ้านจะไปทำบุญตักบาตรหรือตักบาตรเทโว และจัดอาหารคาวหวานไปถวายแด่พระภิกษุสามเณร บางวัดก็มีการกวนข้าวทิพย์ถวาย มีการรับศีลสวดมนต์ทำวัตรเข้า ฟังเทศน์ และผู้มีจิตศรัทธาที่จะถวายผ้าจำพรรษา ก็นำไปถวายแด่พระภิกษุตอนนี้ด้วย (ผ้าจำนำพรรษา คือ ผ้าที่ภิกษุจะได้รับเมื่อจำพรรษาแล้ว มีเวลาที่จะถวายและรับได้ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ดถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือนสี่ แต่ที่นิยมทำกันมีถวายผ้าดังกล่าวในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด) ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ดนี้พระสงฆ์จะรวมกันทำพิธีออกวัสสาปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้มีการว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ต่อมาเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่อาจให้โอวาทพระสงฆ์ด้วย และตอนค่ำมีการจุดไต้ประทีป การไต้ประทีปมีทั้งใช้ยางบงซึ่งผสมในอ้มในเนียมเพื่อให้มีกลิ่นหอม โดยใช้ไม้ไผ่ที่เหล่าจุ่มยางบงหลาย ๆครั้ง ตากแดดให้แห้ง เวลาจุดใช้เสียบกับต้นกล้วย นอกนี้ใช้น้ำมันและน้ำมันพืช เช่น น้ำมันเมล็ดกระบก หมากเยา (สลอด) น้ำมันหมากแตก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันละหุ่งและน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ การจุดไต้ประทีปอาจใช้ไม้ไผ่ ลูกมะตูมกา ขวด กระป๋อง กะลามะพร้าวหรือสิ่งอื่น ๆ เอาไปแขวนไว้ตามต้นไม้หรือวางไว้ตามร้านที่ทำขึ้น ตามกิ่งไม้ต้นไม้ รั้วหรือกำแพงรอบ ๆ บริเวณวัดประทีปที่จุดแล้วนี้จะทำให้แลดูสว่างไสวไปทั้งวัดสวยงามมาก และมีการจุดประทัดเสียงตูมตามด้วย มูลเหตุที่จะมีบุญออกพรรษา คงเนื่องจากพระภิกษุสามเณรได้มารวมกันอยู่ที่วัดใดหนึ่งโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งจะไปค้างคืนหรือจำที่วัดที่อื่นไม่ได้เป็นเวลาสามเดือนพอดี พระสงฆ์จึงได้ทำพิธีออกวัสสาปวารณาดังกล่าวทั้งภายหลังออกพรรษาแล้ว พระภิกษุสามเณรส่วนมากมักจะแยกกันไปในที่ต่าง ๆ ได้ตามใจชอบและพระภิกษุสามเณรบางรูปอาจลาสิกขาบท เมื่อถึงวันก่อนที่พระภิกษุสามเณรจะแยกย้ายกันไปเช่นนี้ ชาวบ้านจึงถือเป็นวันสำคัญถือโอกาสทำบุญถวายภัตตาหารและบริขารต่าง ๆ แด่พระภิกษุสามเณรที่วัดเป็นพิเศษ เพราะภายหลังวันออกพรรษาแล้วจะหาโอกาสที่พระภิกษุสามเณรอยู่พร้อมเพรียงกันเช่นนี้ยาก และในวันออกพรรษานี้ อากาศเริ่มสดชื่นเย็นสบายเนื่องจากฝนเริ่มตกน้อยลง อากาศก็จวนเริ่มเข้าฤดูหนาว การคราดไถนาตกกล้าหว่านดำนาของชาวบ้านก็เสร็จแล้ว ชาวบ้านจึงหมดภาระในการทำไร่ทำนาไปตอนหนึ่ง ทั้งข้าวกล้องในนากำลังเขียวชอุ่มและเริ่มออกรวง ประกอบกับอากาศแจ่มใส ทำให้ชาวบ้านรู้สึกมีความสุขสบายกายสบายใจ จึงถือโอกาสทำบุญในวันออกพรรษานี้โดยพร้อมเพรียงกัน
ในวันออกพรรษามักจะมีพิธีอื่น ๆ ประกอบอีก คือ
1. การถวายต้นดอกเผิ้งหรือปราสาทผึ้ง การทำต้นดอกเผิ้งชาวบ้านเอาไม้ไผ่มาจักตอนสานและทำเป็นรูปปราสาท แล้วเอากาบกล้วยมาแทงหยวกเป็นลวดลายอย่างสวยงามปิดและมุง เอาขี้ผึ้งไปต้มให้เปื่อย เอาผลมะละกอดิบมาแกะสลัก ติดด้ามด้วยไม้ จุ่มลงในน้ำผึ้งแล้วจุ่มลงในน้ำเย็น ทำเป็นรูปดอกไม้ซึ่งเรียกว่า "ดอกเผิ้ง" ตรงกลางมีขมิ้นทำเป็นเกสร เอาไม้มาเสียงเกสรติดกับดอกเผิ้ง แล้วเอาไปเสียบติดกันกาบกล้วยที่ต้นปราสาทจัดระยะถี่ห่างอย่างสวยงาม ข้างในหอปราสาทมีขนมข้าวต้ม กล้วยอ้อย เสื่อหมอน ฯลฯ ข้างนอกแขวนและประดับประดาด้วยผ้าแพร กระดาษดินสอ ไม้ขีด ฝ้ายไหม ฯลฯ พร้อมปัจจัย ตอนเย็นหรือค่ำก็แห่กันอย่างสนุกสนานครึกครื้นไปที่วัด เวียนรอบศาลาโรงธรรม 3 รอบ แล้วนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ เพื่อบูชาพระรัตนตรัยและอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อทำพิธีถวายเสร็จแล้ว มีการฟังเทศน์ฉลองต้นเผิ้งและพระกล่าวคำอนุโมทนาให้พรเป็นเสร็จพิธี การทำต้นเผิ้งส่วนมากชาวบ้านรวมกันทำเป็นกลุ่ม ๆ แล้วแต่ศรัทธา วัดหนึ่ง ๆ มักมีการถวายต้นดอกเผิ้งจำนวนหลาย ๆ ต้น มูลเหตุที่จะมีการถวายต้นดอกเผิ้ง มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่ป่ารักชิตวันมีช้างและลิงเป็นผู้อุปฐาก ช้างเป็นผู้มีหน้าที่ตักน้ำและต้มน้ำถวาย ส่วนลิงทำหน้าที่หาผลไม้ รวงผึ้งและน้ำผึ้งมาถวายรวงผึ้งที่คั้นเอาน้ำผึ้งถวายพระพุทธเจ้าฉันแล้ว เหลือแต่ขี้ผึ้งมีผู้เห็นประโยชน์จึงนำไปทำเทียนมาถวายและได้ทำเป็นต้นตกแต่งประดับประดาให้สวยงามแล้วแห่ไปถวาย ซึ่งกลายเป็นต้นปราสาทผึ้ง การถวายต้นดอกเผิ้งหรือปราสาทผึ้งจึงเป็นประเพณีสืบต่อกันมาช้านานจนกระทั่งทุกวันนี้
2. การล่องเฮือไฟ คือ เรื่อหรือแพที่ทำด้วยห่อนกล้วยหรือไม้ไผ่ ยาวประมาณ 3-4 เมตรหรือยาวกว่านี้ ทำร้านหรือราวขึ้นสำหรับจุดไต้และเสียบธูปเทียน เฮือไฟอาจยกโครงขึ้นเป็นรูปต่าง ๆ ได้แก่ รูปสัตว์ เช่น ช้าง ม้า จระเข้ พญานาค ฯลฯ หรือรูปปราสาท บ้านเรือน เป็นต้น และตกแต่งอย่างสวยงาม มูลเหตุที่มีการล่องเฮือไฟ จุดประสงค์เพื่อเป็นการบูชาและคารวะแม่คงคา และสักการะพระพุทธบาทนัมทานที แล้วน้อมจิตอธิษฐานขอให้ผู้บูชาประสบแต่ความสุข ความเจริญยิ่งขึ้นไป พิธีจัดทำ พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด หรือแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ชาวบ้านและพระภิกษุสามเณรช่วยกันทำเฮือไฟลอยไว้ริมน้ำ ถึงตอนใกล้เที่ยงถวายภัตตาหารเพลที่ท่าน้ำหรือถวายที่วัดก็ได้ ตอนบ่ายมีการเล่นฟ้อนรำฉลองเฮือไฟ ตอนเย็นมีการฟังพระสวดมนต์และฟังเทศน์ที่วัด พอค่ำชาวบ้านนำเครื่องบริขารต่าง ๆ เช่น ขนม ข้าวต้ม กล้วย อ้อย หมากพลูบุหรี่ ฯลฯ ใส่กระตาดหรือกระทงบรรจุไว้ในเฮือไฟ แต่บางแห่งคงมีแต่ดอกไม้ธูปเทียนเท่านั้นไปวางไว้ที่เฮือไฟ ครั้งได้เวลา คือ ประมาณ 1 ถึง 2 ทุ่ม ก็จุดได้ หรือคบเพลิง ซึ่งประดับไว้ในเฮืดไฟให้สว่าง ชาวบ้านจุดธูปเทียนเป็นพุทธบูชาและคารวะแม่คงคา อธิษฐานให้มีความสุขความเจริญเสร็จแล้ว นำดอกไม้ธูปเทียนไปวางหรือปักไว้ในเฮือไฟแล้ว จึงปล่อยเฮือไฟออกจากฝั่ง ลอยไปตามลำแม่น้ำแลดูสว่างไสวและเป็นทิวแถวสวยงามมาก
3. การส่วงเฮือ การส่วงเฮือ หมายถึง การนำเรือมาแข่งกันด้วยฝีพาย ชาวอีสานจะกำหนดแข่งเรือกันในวันใดวันหนึ่ง ระหว่างเดือนสืบถึงเดือนสิบสอง ระหว่างเข้าพรรษาหรือภายหลังนั้นเล็กน้อย เช่น ในวันทำบุญข้าวสาก บางแห่งนิยมจัดแข่งขันกัน ในวันออกพรรษาและยึดเวลาไปถึงเดือนสิบสองก็มี เรือที่แข่งคือ เรือขุดบรรจุคนได้ตั้งแต่ 20 คน ถึง 150 คน วัดใดหรือหมู่บ้านใดที่อยู่ใกล้แม่น้ำ หรือลำคลองมักมีเรือแข่งไว้เป็นประจำเมื่อถึงวันแข่งชาวบ้านจะประกาศหรือนัดให้คนหมู่บ้านอื่นที่มีเรือแข่งมาก "ส่วงเฮือ" กันเป็นประเพณีที่ทำให้ผู้มาร่วมงานสนุกสนาน ได้มีโอกาสพบปะวิสาสะกัน จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำโขง เช่น หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี และจังหวัดเลย (เฉพาะอำเภอเชียงคาน) มักจัดประเพณีส่วงเฮืดกันทุกไปและจัดทำใหญ่โตมีการแข่งขันกัน
คำถวายผ้าจำนำพรรษา
อิมานิ มะยังภันเต วัสสาวาสิกานิ สังฆัสสะ โอโรฃณชะยามะ สาธุโน ภันเต สังโฆ อิมานิ วัสสาวาสิกานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
คำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจำพรรษาเหล่านี้ แก่พระสงฆ์ แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์ให้โอกาสรับผ้าจำนำพรรษาเหล่านี้ เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ
คำถวายปราสาทผึ้ง
มะยัง ภันเต อิมัง สะปะริวารัง มะธุปุบผะปาสาทัง อิมัสมิง วิหาเร สังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต สังโฆ อิมัง สะปะริวารัง มะธุปุปผะปาสาทัง ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัญเจวะ มาตาปิตะอาทีนัง ญาตะกานัญจะกาละกะตานัง ทีฆะรัตตัง สุขายะ
คำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ปราสาทผึ้งกับทั้งบริวารนี้ แก่พระสงฆ์ในวิหารนี้ ขอพระสงฆ์จงให้โอกาสรับปราสาทผึ้ง กับทั้งบริวารนี้ เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย และญาติทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น ผู้ล่วงลับไปแล้ว ตลอดกาลนานเทอญ

10.เดือนสิบ บุญข้าวสาก

บุญข้าวสากหรือข้าวสลาก ( สลากภัต ) นิยมทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบ เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตายหรือเปรต บางท่านว่าเป็นการทำบุญอุทิศกุศลให้เปรตอีกครั้งหนึ่ง โดยมีเวลาห่างจากเวลาบุญข้าวประดับดิน 15 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เปรตต้องการกลับไป ณ ที่อยู่ของตน ก่อนการทำบุญข้าวสากชาวบ้านจะเตรียมข้าวเม่า ข้าวพอง ข้าวตอก ขนม และอาหารคาวหวานอื่นๆ ตลอดผลไม้ต่างๆ ไว้ทำบุญอย่างคึกคักในวันงาน สำหรับข้าวเม่า ข้าวพองและข้าวตอกนั้น จะคลุกเข้ากันและใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา มะพร้าวให้เป็นข้าวสาก
( ภาคกลางเรียกว่าข้าวกระยาสารท ) แต่บางแห่งข้าวเม่า ข้าวพองและข้างตอกมิได้คลุกเข้าด้วยกันคงแยกไปทำบุญเป็นอย่างๆ ไปตามเดิม เมื่อเตรียมของทำบุญเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านจะเอาข้าวปลาอาหารที่มีอยู่ไปส่งญาติพี่น้องและผู้รักใคร่นับถืออาจส่งก่อนวันทำบุญหรือส่งในวันทำบุญเลยก็ได้ แล้วแต่สะดวก สิ่งของเหล่าสี้มักแลกเปลี่ยนกันมาระหว่างญาติพี่น้องและชาวบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ถือว่าเป็นได้บุญและเป็นการผูกมิตรไมตรีกันไปในตัวด้วย มูลเหตูที่มีการทำบุญข้าวสาก มีเรื่องเล่าไว้ในธรรมบทว่า มีบุตรชายกฎุมพีผู้หนึ่ง เมื่อพ่อสิ้นชีวิตแล้วแม่ได้หาหญิงผู้มีอายุและตระกูลเสมอกันมมาเป็นภรรยา แต่อยู่ด้วยกันหลายปีไม่มีบุตร แม่จึงหาหญิงอื่นมาให้เป็นภรรยาอีก ต่อมาเมียน้อยมีลูก เมียหลวงอิจฉา จึงคิดฆ่าทั้งลูกและเมียน้อยเสีย ฝ่ายเมียน้อยเมื่อก่อนจะตายก็คิดอาฆาตเมียหลวงไว้ ชาติต่อมาฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นแมว อีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นไก่ แมวจึงกินไก่และไข่ ชาติต่อมาฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นเสือ อีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นกวาง เสือจึงกินกวางและลูก ชาติสุดท้าย ฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นคนอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นยักษิณี พอฝ่ายคนแต่งงานคลอดลูก นางยักษิณีจองเวร ได้ตามไปกินลูกถึงสองครั้งต่อมามีครรภ์ที่สาม นางได้หนีไปอยู่กับพ่อแม่ของตนพร้อมกับสามี เมื่อคลอดลูกเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงพร้อมด้วยสามีและลูกกลับบ้าน พอดีนางยักษิณีมาพบเข้า นางยักษิณีจึงไล่นาง สามีและลูก นางจึงพาลูกหนีพร้อมกับสามีเข้าไปยังเชตวันมหาวิหาร ซึ่งพอดีพระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ นางและสามีจึงนำลูกน้อยไปถวายขอชีวิตไว้ นางยักษ์จะตามเข้าไปในเชตวันมหาวิหารไม่ได้ เพราะถูกเทวดากางกั้นไว้ พระพุทธเจ้าจึงโปรดให้พระอานนท์ไปเรียกนางยักษ์เข้ามาฟังพระธรรมเทศนา พระองค์ทรงสั่งสอนไม่ให้พยาบาทจองเวรกัน แล้วจึงโปรดให้นางยักษ์ไปอยู่ตามหัวไร่ปลายนา นางยักษ์ตนนี้มีความรู้เกณฑ์เกี่ยวกับฝนและน้ำดีปีไหนฝนจะตกดีปีไหนฝนจะตกไม่ดีจะแจ้งให้ชาวเมืองได้ทราบ ชาวเมืองให้ความนับถือมาก จึงได้นำอาหารไปส่งนางยักษ์อย่างบริบูรณ์สม่ำเสมอ นางยักษ์จึงได้นำเอาอาหารเหล่านั้นไปถวายเป็นสลากภัตแด่พระภิกษุสงฆ์วันละแปดที่เป็นประจำ ชาวอิสานจึงถือเอาการถวายสลากภัตหรือบุญข้าวสากนี้เป็นประเพณีสืบต่อกันมาและเมื่อถึงวันทำบุญข้าวสาก นอกจากนำข้าวสากไปถวายพระภิกษุและวางไว้บริเวณวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ชาวนาจะเอาอาหารไปเลี้ยงนางยักษ์ หรือผีเสื้อนาในบริเวณนาของตนเปลี่ยนเรียกนางยักษ์ว่า " ตาแฮก "
วิธีดำเนินการ พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบ ตอนเช้าชาวบ้านจะพากันนำอาหารคาวหวานต่างๆ ไปทำบุญตักบาตรที่วัดโดยพร้อมเพรียงกัน และถวายทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้ว ต่อจากนั้นก็กลับบ้าน แต่บางคนอาจอยู่วัดจำศีล ภาวนาและฟังเทศน์ก็มีต่อมาพอสายพอจวนเพล ชาวบ้านจะนำเอาข้าวปลาอาหารที่เตรียมไว้ ไปวัดอีกครั้งหนึ่ง โดยเอาอาหารต่างๆ จัดเป็นสำรับหรือชุดสำหรับถวายทานหรือถวายเป็นสลากภัต การถวายอาหารตอนนี้จัดใส่ภาชนะต่างๆแล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น บางแห่งจัดใส่ถ้วย ชามถวาย บางแห่งใช้ทำเป็นห่อ ทำเป็นกระทงด้วยใบตองกล้วยหรือกระดาษ บางแห่งใส่ชะลอม ซึ่งสานด้วยไม้ไผ่และกรุด้วยใบตองกล้วยหรือกระดาษ บ้านหนึ่งๆจะจัดทำสักกี่ชุดแล้วแต่ศรัทธา ประเพณีบุญข้าวสารที่นิยมทำกันอีกอย่างหนึ่ง คือ สลากภัต อาจทำได้หลายวิธี คือวิธีหนึ่ง ก่อนจะนำของถวายพระชาวบ้านจะจับสลากชื่อพระภิกษุสามเณรก่อน สลากที่จับถูกชื่อพระภิกษุสามเณรรูปใด ก็นำของไปถวายแต่พระภิกษุสามเณรรูปนั้น วิธีหนึ่ง ผู้ถวายจะเขียน ชื่อของตนใส่ลงในบาตร พระภิกษุสามเณรรูปใด ได้สลากของผู้ใด ผู้นั้นก็นำของไปถวายข้าวสากกี่ชุด จะเขียนชื่อเจ้าของข้าวสากพร้อมจำนวนชะลอมหรือท่อหรือทา และคำอุทิศส่วนกุศล ใส่กระดาษไปด้วย เมื่อชาวบ้านไปพร้อมกันที่วัดแล้ว จะนำเอาสลากนั้นไปใส่ลงในขันหรือบาตรรวมกันคลุกให้เข้ดีแล้ว จะมีการจับสลากขึ้นมาทีละใบ เมื่อจับสลากถูกใบใด ก็จะมีการอ่านชื่อผู้เจ้าของสลากพร้อมคำอุทิศส่วนกุศล พออ่านจบเจ้าของข้าวสากจะนำห่อ ชะลอมหรือสำหรับอาหารต่าง ๆ ไปถวายพระภิกษุสงฆ์การจับสลากใบแรก ประชาชนบางตำบลหมู่บ้านให้ความสนใจและตื่นเต้นเป็นพิเศษ ว่าปีนั้นจะจับสลากถูกใครก่อนคนอื่น เพราะเชื่อถือกันว่า ถ้าปีได้จับสลากคนแรกเป็นคนฐานะยากจน มักจะทำนายว่า ปี่นั้นมักจะหากินไม่คอยได้ผลดี เช่น ข้าวกล้าในนา จะไม่งอกงาม เป็นต้น แต่ถ้าปีใดจับสลากถูกคนที่มีฐานะดี ก็มักจะทำนายว่า ประชาชนในละแวกนั้นจะอยู่เย็นเป็นสุข ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ ไม่อดอยาก นอกนี้บางแห่งชาวบ้านยังนิยมเอาห่อหรือชะลอมข้าวสากไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในบริเวณวัด พร้อมจุดเทียนและบอกกล่าวให้เปรตหรือญาติผู้ล่วงลับไปแล้วมารับเอาอาหารต่าง ๆ ที่วางไว้ และขอให้มารับส่วนกุศลที่อุทิศให้ด้วย เมื่อถวายข้าวสากแด่พระภิกษุสามเณรและนำอาหารไปวางไว้บริเวณวัดเสร็จแล้ว มีการฟังเทศน์ฉลองข้าวสากและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้เปรตและญาติผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย เป็นอันเสร็จพิธี นอกจากนี้ผู้ที่มีนาจะนำข้าวสารไปเลี้ยง "ตาแฮก" ที่นาขอบตน ดังกล่าวแล้วข้างต้น
คำถวายสลากภัต

อิมานิ มะยัง ภันเต สะลากะภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต ภักขุสังโฆ อิมานิ สะลากะภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัญเจวะ มาตาปิตุอาทีนัง ญาตะกานัณจะกาละ กะตานัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
คำแปล

ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายกับทั้งบริวารเหล่านี้แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ จงให้โอกาสรับซึ่งสลากภัต กับทั้งบริขารเหล่านี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย และญาติทั้งหลาย มีมารดาบิดา เป็นต้น ซึ่งล่วงลับไปแล้วตลอดกาลนานาเทอญ

9.เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน


บุญข้าวประดับดินนิยมทำกันในแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า บุญข้าวประดับดินเป็นบุญที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรต (ชาวอีสานบางทีเรียก เผต) หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว ข้าวประดับดินได้แก่ ข้าวและอาหารหวานคาวพร้อมหมากพลูบุหรี่ที่ห่อด้วยใบตองกล้วย นำไปวางไว้ตามใต้ต้นไม้ แขวนไว้ตามกิ่งไม้หรือวางไว้ตามพื้นดินหรือที่ใดที่หนึ่งในบริเวณวัด พร้อมกับเชิญวิญญาณของญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว มารับเอาอาหารที่อุทิศให้ต่อมาภายหลังนิยมนำภัตตาหารถวายแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายโดยหยาดน้ำ (กรวดน้ำ) ไปให้ด้วย มูลเหตุที่จะมีการทำบุญข้าวประดับดิน มีเรื่องเล่าว่า ครั้งพุทธกาลบรรดาญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์ ตายไปแล้วไปเกิดเป็นเปรต เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้ว มิได้ทรงอุทิศส่วนกุศลผลบุญไปให้บรรดาเปรตที่เป็นญาติเหล่านั้น เมื่อเปรตมิได้รับผลบุญ ถึงเวลากลางคืนพากันมาส่งเสียงน่ากลัว เพื่อขอส่วนบุญอยู่ใกล้ ๆ กับพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสารทรงได้ยินเช่นนั้น พอรุ่งเช้าจีงเสด็จไปทูลถาม สาเหตุจากพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าจึงทรงแจ้งถึงสาเหตุให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบแล้ว จึงถวายทานแล้วอุทิศส่วนกุศลซึ่งได้ทำไปให้เปรต ตั้งแต่นั้นมาบรรดาเปรตเหล่านั้นก็ไม่มารบกวนอีกเพราะเปรตที่เป็นญาติได้รับผลบุญแล้ว ชาวอีสานจึงถือเอามูลเหตุนี้ทำบุญข้าวประดับดินติดต่อกันมา

วิธีดำเนินการ พอถึงวันแรม 13 ค่ำ เดือนเก้า ชาวบ้านเตรียมอาหารมีทั้งคาวหวาน ได้แก่ เนื้อปลาเผือกมัน ข้าวต้ม ขนม น้ำอ้อย น้ำตาล ผลไม้ เป็นต้น และหมากพลูบุหรี่ไว้ให้พร้อมเพื่อจัดทำเลี้ยงกันในครอบครัวบ้าง และทำบุญถวายพระภิกษุสมเณรบ้าง ส่วนสำหรับอุทิศให้ญาติที่ตายใช้ห่อด้วยใบตองกล้ายคาวห่อหนึ่ง หวานห่อหนึ่ง และหมากพลูบุหรี่ห่อหนึ่ง เย็บหุ้มปลายแต่บางคนใส่ใบตองที่เย็บเป็นกระทงก็มีหรือหากไม่แยกกัน อาจเอาอาหารทั้งคาวหวานหมากพลูบุหรี่ใส่ในห่อหรือกระทงเดียวกันก็ได้ สิ่งเหล่านี้จะมากน้อย ก็แล้วแต่ศรัทธา พอเช้าวันรุ่งขึ้น คือ วันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้าตอนเช้ามืด คือ เวลาประมาณ 4 ถึง 6 นาฬิกา ชาวบ้านก็นำอาหารหมากพลูบุหรี่ที่ห่อหรือใส่กระทงแล้ว ไปวางไว้ตามพื้นดิน วางแจกไว้ตามบริเวณโบสถ์ ต้นโพธิ์ ศาลาวัดตามกิ่งไม้ หรือต้นไม้ใหญ่ ๆ ในบริเวณวัด พร้อมพับจุดเทียนไว้ และบอกกล่าวแก่เปรตให้มารับเอาของและผลบุญด้วย บางหมู่บ้านจะเอาอาหารที่อุทิศให้แก่ผู้ตายเสร็จแล้วนี้ฝังไว้ในดินก็มี เพื่อไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งมากินอาหารที่เป็นเดนเปรตเพราะกลัวจะกลายเป็นเปรตไปด้วย การวางอาหารไว้ตามพื้นดินหรือตามที่ต่าง ๆ เพื่อจะให้พวกเปรตมารับเอาของที่อุทิศให้ได้ง่ายโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองนัก เสร็จพิธีอุทิศผลบุญส่งไปให้เปรตแล้ว ชาวบ้านก็จะนำอาหารที่เตรียมไว้ไปตักบาตรและถวายทานแต่พระภิกษุสามเณร มีการสมาทานศีลฟังเทศน์และกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับต่อไป การทำบุญข้าวประดับดิน บางท้องถิ่นมีการห่ออาหารคาวหวานหมากพลูบุหรี่ไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ บริเวณวัด ภายหลังการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรแล้วก็มี เป็นเสร็จพิธีทำบุญข้าวประดับดิน

คำถวายสังฆทาน

(ข้าวประดับดิน)อิมานิ มะยัง ภันเต ปิณฑะภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ปิณฑะภัตตานิ สะปะริวานิ ปะฏิคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะ รัตตัง หิตายะ สุขายะ

คำแปล

ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายข้าวและอาหาร (ข้าวประดับดิน) กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับข้าวและอาหาร (ข้าวประดับดิน) พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ

8.เดือนแปด บุญเข้าพรรษา


บุญเข้าพรรษาถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนแปดเป็นวันทำบุญ เป็นประเพณีที่ถือมาแต่โบราณครั้งพุทธกาล เพราะในฤดูฝน เมื่อฝนตกหนทางไปมาไม่สะวก เป็นการลำบากในการที่พระภิกษุจะสัญจรไปมา และบางครั้งพระภิกษุอาจเดินเข้าไปในเรือกสวนไร่นาเหยียบย่ำพืชผักของชาวบ้านเสียหาย จึงมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำที่หรือเข้าพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนแปด ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด เพื่อให้พระภิกษุสามเณรอยู่เป็นที่โดยเหตุผลดังกล่าวและในระหว่างเข้าพรรษา พระภิกษุสามเณรจะได้ถือโอกาสเล่าเรียนพระธรรมวินัยต่าง ๆ เพื่อจะนำไปสั่งสอนพุทธศาสนิกชนต่อไปด้วย ในระหว่างเข้าพรรษา พระภิกษุสามเณรจะไปพักค้างคืนที่อื่นไม่ได้นอกจากไปด้วยสัตตาหกรณียะ คือการไปค้างคืนนอกวัดในระหว่างอยู่จำพรรษาของพระเมื่อมีเหตุจำเป็นได้แก่

1. สหธรรมิก (ผู้มีธรรมอันร่วมกัน) หรือมารดาบิดาป่วย ไปเพื่อรักษาพยาบาล

2. สหธรรมิกกระสันจะสึก ไปเพื่อระงับ

3. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุด ไปเพื่อปฏิสังขรณ์

4. ทายกบำเพ็ญกุศล สงมานิมนต์ไปเพื่อบำรุงศรัทธา แม้ธุระอื่น นอกจากนี้ที่เป็นกิจลักษณะอนุโลมตามนี้ก็ไปค้างที่อื่นได้ และการไปในกรณีดังกล่าว ต้องกลับมาภายใน 7 วัน หมายความว่าไปได้ไม่เกิน 7 วันนั้นเอง มูลเหตุที่จะมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์เข้าพรรษา เรื่องมีอยู่ว่าครั้งพุทธกาลเพื่อพระพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่เวฬุวันกลันทกะนิวาปะสถาน ณ เมืองราชคฤห์ มีพระสงฆ์พวกหนึ่งเรียกว่า "ฉัพพัคคีย์" เที่ยวไปมาตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ไม่ได้หยุดพักเลย เมื่อคราวฝนตกแผ่นดินชุ่มด้วยน้ำฝน ก็เที่ยวเหยียบย่ำข้าวกล้าและหญ้าระบัดเขียว ทั้งสัตว์เล็กๆ เป็นอันตรายประชาชนทั่วไปพากันติเตียนว่า แม้แต่พวกเดียรสถีย์ปริพาชกเขายังหยุด ที่สุดแม้นกยังรู้จักทำรังอาศัยบนยอดไม้หลบหลีกฝน แต่พระสมณะศากยบุตรทำไมจึงเที่ยวอยู่ได้ทั้งสามฤดู เหยียบหญ้าและต้นไม้ที่เป็นของชีวิตอยู่ ทั้งทำสัตว์ทั้งหลายให้ตายเป็นอันมากเช่นนี้ เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้ยินคำตำหนิติเตียนเช่นนั้น จึงนำความขึ้นกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์จำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนแปด ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ตอนนี้เรียกว่าพรรษาแรกแต่ถ้าพระภิกษุรูปใดไม่สามารถเข้าพรรษาได้ตามกำหนดดังกล่าว อาจเข้าพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนเก้าเป็นต้นไปจนครบ 3 เดือนก็ได้ เรียกว่าพรรษาหลังในระหว่างเข้าพรรษาให้พระภิกษุอยู่ในวัดแห่งเดียวไม่อนุญาตให้ไปพักแรมที่อื่นตลอด 3 เดือน ถ้าพระภิกษุเที่ยวไปกลางพรรษา หรืออธิษฐานจำพรรษาแล้ว อยู่ครบ 3 เดือนไม่ได้ ต้องอาบัติทุกกฎเว้นแต่มีเหตุอันจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่ปรกติไปได้ไม่เกิน 7 วัน ประเพณีให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษา คือ อยู่ในวัดแห่งเดียวไปค้างที่ไหนไม่ได้ 3 เดือน จึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิธีดำเนินการ เมื่อถึงวันทำบุญเข้าพรรษา ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาต่างก็จัดอาหารคาวหวาน หมากพลูบุหรี่ไปถวายพระ บางคนก็นำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ มี ไตรจีวร ตั่งเตียง ยารักษาโรค ผ้าห่มนอน ตะเกียง ธูปเทียนเป็นต้นไปถวาย โดยเฉพาะเครื่องสำหรับให้แสงสว่าง เช่น เทียน ตะเกียง น้ำมัน เป็นต้น ชาวบ้านถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเชื่อว่าการถวายทานแสงสว่างแด่พระภิกษุสงฆ์จะได้อานิสงส์แรงทำให้ตามทิพย์และสติปัญญาดี ก่อนวันเข้าพรรษา ทางวัดจะเที่ยวบอกบุญชาวบ้านขอให้ไปหาขี้ผึ้งมาหล่อเป็นเทียนโดยจัดทำเป็นเล่มหรือแท่งขนาดใหญ่ และทำเป็นต้น เรียกว่า ต้นเทียน มีการประดับประดาอย่างสวยงาม พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนแปด ก็พากันแห่ไปถวายวัด บางแห่งแบ่งการหล่อเทียนออกเป็นคณะ ก่อนนำไปถวายวัดมีการประกวดต้นเทียนกันด้วย ขบวนต้นเทียนที่จัดเป็นคณะ มีการฟ้อนรำและการละเล่นพื้นเมืองประกอบ สนุกสนานเฮฮากัน เมื่อไปถึงวัดก็มีการทำพิธีถวายเทียน ผ้าอาบน้ำฝน และบริวารอื่น ๆ แต่พระภิกษุสามเณรและมีการฟังเทศน์ด้วยบางแห่งชาวบ้านชายหญิงเข้าโบสถ์สวดบทธรรมเป็นทำนองสรภัญญ์ เริ่มแต่อาราธนาศีล อาราธนาธรรม ตลอดจนบทเรียนเกี่ยวกับการประพฤติการปฏิบัติ และพรรณาถึงคุณของผู้มีอุปการคุณ ซึ่งมีท่วงทำนองไพเราะจับใจมากทำให้ผู้สวดและผู้ฟังจิตใจสงบสุข บางหมู่บ้านอาจมีสวดสรภัญญ์แข่งขันกัน ผ้าอาบน้ำฝน คือผ้าที่พระภิกษุใช้นุ่งอาบน้ำ สีอนุโลมตามสีจีวร ขนาดยาว 4 ศอก 1 กระเบียด กว้าง 1 ศอก 1 คืบ 1 กระเบียด 2 อนุกระเบียด ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนเจ็ด ถึงกลางเดือนแปดเป็นเวลาที่พระภิกษุแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน ผู้มีศรัทธาอาจถวายผ้าอาบน้ำฝนได้ ตามกำหนดนี้โดยมากนิยมถวายกันในวันเพ็ญเดือนแปด มูลเหตุที่มีการถวายผ้าอาบน้ำฝน เดิมพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใช้เพียงผ้า 3 ผืน คือ ผ้าสังฆาฏิ ผ้าห่ม 1 และผ้านุ่ง 1 ครั้งถึงฤดูฝนพระภิกษุบางรูปจะอาบน้ำฝนไม่มีผ้าจะนุ่งอาบ จึงเปลือยกายอาบน้ำ วันหนึ่งนางวิสาขาใช้สาวใช้ไปวัดขณะฝนตก สาวใช้เห็นพระภิกษุเปลือยกายอาบน้ำฝน จึงกลับมาเล่าให้นางวิสาขาฟัง นางวิสาขาจึงกราบทูลพระพุทธเจ้า ขอถวายผ้าอาบน้ำฝน พระองค์จึงทรงอนุญาตเขตกำหนดแสวงหาผ้าและเวลาให้ผ้าอาบน้ำฝน ให้พระภิกษุถือเป็นกิจวัตรปฏิบัติตั้งแต่นั้นมา

คำถวายเทียนและคำถวายผ้าอาบน้ำฝน มีดังต่อไปนี้
คำถวายเทียน

อิมานิ มะยัง ภันเต ปะทีปัง สะปะริวารัง ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต ภิกษุสังโฆ อิมานิ ปะทีปัง สะปะริวารัง ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

คำแปล

ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายเทียนกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับเทียนและบริวารทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ

คำถวายผ้าอาบน้ำฝน

อิมานิ มะยังภันเต วัสสิกะสาฏิกะจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโนภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ วัสสิกะสาฏิกะจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหาหัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

คำแปล

ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าอาบน้ำฝนกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้าอาบน้ำฝนพร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ

7.เดือนเจ็ด บุญซำฮะ


บุญซำฮะ นิยมทำกันในเดือนเจ็ด จัดทำได้ทั้งข้างขึ้นข้างแรม บุญซำฮะ คือ บุญซำระล้างสิ่งที่เป็นเสนียดจัญไร อันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่บ้านเมือง ทำให้บ้านเมือง ไม่อยู่เย็นเป็นสุข เกิดโจรปล้นบ้าน ปล้นเมือง ฆ่าฟันรันแทง ผู้คนวัวควายล้มตายเพราะผีเข้า บ้านเมืองมีเหตุเภทภัยต่าง ๆ จึงทำบุญชำระล้างสิ่งที่ทำให้เกิดเหตุเภทภัย ที่เป็นอัปมงคลให้หมดไป บางแห่งทำเมื่อฝนแล้งหรือไม่ตกต้องตามฤดูกาลเมื่อทำบุญทำทานี้แล้ว เชื่อว่าจะทำให้ฝนตกและบ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะจะได้ทำนาและปลูกพืชพันธ์ธัญญาหารต่าง ๆ เมืองใดที่มีมเหศักดิ์หลักเมือง ก็ทำพิธีเซ่นสรวงหลักเมือง หมู่บ้านใดที่มีผีประจำหมู่บ้านซึ่งเรียกว่า "ผีปู่ตา" หรือ "ตาปู่" หรือเจ้าบ้าน" ก็ทำพิธีเลี้ยงในเดือนเจ็ดนี้และนำข้าวปลาอาหารพร้อมสิ่งอื่น ๆ ไปเลี้ยงผีประจำไร่นา ซึ่งเรียกว่า "ผีตาแฮก" ด้วย มูลเหตุที่มีการทำบุญซำฮะ มีเรื่องเล่าว่า ครั้งพุทธกาลที่เมืองไพสาลี ได้เกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง เพราะฝนแล้ง และผู้คนตายเป็นอันมากเนื่องจากความอดอยากและเกิดอหิวาตกโรค บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยซากศพ กลิ่นคลุ้งไปทั่วเมือง ชาวเมืองจึงพากันไปอาราธนาพระพุทธเจ้าให้มาระงับเหตุเภทภัยพระพุทธเจ้าจึงเสด็จจากเมืองราชคฤห์พร้อมพระภิกษุ 500 รูปไปยังเมืองไพสารีโดยทางเรือ เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงบังเกิดผลตกห่าใหญ่ น้ำท่วมพื้นดินขึ้นถึงหัวเข่าพัดเอาซากศพลอยไปตามน้ำ พระองค์จึงให้พระอานนท์เรียนคาถา แล้วโปรดให้พระอานนท์ไปสวดมนต์ภายในกำแพงเมือง พร้อมกับนำบาตรน้ำมนต์ของพระองค์ไปประพรมจนทั่วเมืองด้วยบังเกิดให้ชาวเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงมีประเพณีทำบุญซำฮะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คาถาที่กล่าวนั้นมีในรตสูตรว่า "ยังกิญจิ วิตตัง อิธวา หุรังวาฯ เปฯ ยถา นัมปทีโป อิทัมปิ สังเฆรัตนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ"
วิธีดำเนินการ ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านพร้อมกันตั้งผามหรือปะรำขึ้นกลางหมู่บ้าน หรือที่ใดที่หนึ่งตามที่เห็นเหมาะสม มีต้นกล้วยผูกที่เสาปะรำทั้งสี่มุม เตรียมอาสนสงฆ์ กรวดทราย ซึ่งปรกติเอาไปจากบ้านของชาวบ้านทุกคน และหลักไม้ไผ่แปดหลักพร้อมเครื่องไทยทาน น้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขนกะให้ครบทุกคนในหมู่บ้านนั้นและเทียนเวียนหัว (เทียนยาวขนาดวัดรอบศรีษะ) บ้านละเล่ม แล้วนิมนต์พระสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปถึง 9 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ในตอนเย็น วันรุ่งขึ้นถวายอาหารบิณฑบาตรและเครื่องไทยทานแด่พระสงฆ์ สำหรับน้ำพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ใช้หญ้าคามัดเป็นกำจุ่มประพรมให้ชาวบ้าน และคนเฒ่าคนแก่ผูกแขนด้วยฝ้ายผูกแขนให้ชาวบ้านโดยทั่วกัน เสร็จแล้วหว่านกรวดหว่านทรายไปตามละแวกบ้าน เอาหลักทั้งแปดหลักที่เตรียมไว้ไปตอกไว้ในทิศทั้งแปด และวงด้วยด้ายสายสิญจน์รอบหมู่บ้านด้วย ถือว่าเป็นการป้องกันเสนียดจัญไรด้ายสายสิญจน์สำหรับขึงรอบหมู่บ้านนี้ บางแห่งใช้หญ้าคาดวั่นเป็นเส้นยาว ๆ แทนก็มีแต่ถ้าสงสัยว่าชะตาบ้านชะตาเมืองจะขาดให้ทำพิธีตอกหลักบ้านหลักเมือง ถ้าสงสัยว่าบ้านเมืองเคยเป็นเมืองเก่ามาก่อน อาจมีเทพดาอารักษ์หวงแหนเป็นบ่อน้ำ เป็นป่าช้าหรือเป็นที่วัดมาก่อน เป็นต้น ก็ให้ทำพิธีถอนหลักบ้านหลักเมืองเสียก่อนจึงตอกหลัก การทำบุญซะฮะนี้มักทำกันสามคืน โดยมีการฟังพระสวดมนต์ทุกเย็นและถวายอาหารบิณฑบาตทุกเช้าวันรุ่งขึ้น และในวันสุดท้ายของบุญซำฮะ นอกจากมีถวายอาหารบิณฑบาตแล้ว ชาวบ้านจะนำสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ เช่น ขยะมูลฝอย กระติบข้าว ตะกร้า หวด ฯลฯ ที่ชำรุดแล้ว กระบอกปลาร้าที่ไม่ได้ใช้ เศษหม้อ เศษถ้วยชามที่แตก เป็นต้น ขนไปทิ้งนอกหมู่บ้านอีกด้วย หรือทำการเผาหรือฝังให้บริเวณบ้านสะอาดเรียบร้อยถือว่าเป็นการนำสิ่งอัปมงคลออกจากบ้าน จะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากสิ่งเสนียดจัญไรและโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง บุญซำฮะปรกติทำปีละครั้งแต่บางปีชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุขอาจเว้นไม่ทำบ้างก็ได้ ในระหว่างเดือนเจ็ด นอกจากทำบุญซำฮะแล้ว บางแห่งประชาชนทำพิธีบวงสรวง "ผีอาฮักษ์" ประจำเมืองและ "ผีปู่ตา" ประจำหมู่บ้านตลอด "ผีตาแฮก" ตามทุ่งนา ก่อนลงมือทำนาด้วย เพื่อให้ประชาชนในเมืองและในหมู่บ้านนั้น ๆอยู่เย็นเป็นสุข และทำไร่ทำนาได้ผลดี ดังกล่าวแล้วข้างต้น

6.เดือนหก บุญบั้งไฟ


บุญบั้งไฟเป็นที่นิยมทำกันเดือน 6 การจัดทำบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อบูชาอารักษ์หลักเมือง เป็นประเพณีทำบุญขอฝน เพื่อให้ฝนตากต้องตามฤดูกาลเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติมาแต่โบราณ บางหมู่บ้านถือเคร่งมาก คือจะต้องทำบุญบั้งไฟทุกปี จะเว้นไม่ทำไม่ได้ เพราะถ้าเว้นไม่ทำบุญนี้เชื่อว่าอาจทำให้เกิดเหตุเภทภัยต่าง ๆ เช่น ฝนแล้งบ้าง หรือไม่ตกต้องตามฤดูกาลบ้าง คนหรือวัวควายอาจเกิดเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ บ้าง เป็นต้นและเมื่อทุกบุญดังกล่าวแล้ว ก็เชื่อว่า ฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์ ประชาชนในละแวกนั้น จะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะมีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ ทั้งปราศจากโรคภัยด้วย การเตรียมงาน เมื่อชาวบ้านตกลงกำหนดวันกับทางวัดแล้วว่า จะทำบุญบั้งไฟวันใด ก็พากันจัดหาเงินซื้อดินประสิวไปมอบให้ทางวัด เพื่อให้เจ้าอาวาสประชุมประภิกษุสามเณร และชาวบ้านจัดทำบั้งไฟขึ้นและเจ้าบ้าน (คนในหมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพ)จะทำฎีกาบอกบุญไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อให้ชาวบ้านอื่นจัดบั้งไฟและขบวนเซิ้งมาร่วมงานบุญและประชันกัน บางทีมีประกาศให้หมู่บ้านหรือบุคคลนำบั้งไฟมาประกวดกันโดยประกาศทั้งขบวนแห่งการประดับตกแต่งบั้งไฟและการจุดขึ้นสูงของบั้งไฟด้วย ทางคณะเจ้าภาพจะจัดหารางวัลให้ผู้ชนะ เมื่อใกล้จะถึงวันกำหนดงาน ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของงานจะพากันปลูกเพิงหรือผาม (ประรำ) รอบบริเวณวัดหรือศาลาวัดเพื่อให้คนหมู่บ้านอื่นที่มาร่วมงานได้พักอาศัยและทุกบ้านเตรียมสุราอาหารทั้งคาวหวานไว้ต้อนรับแขก ที่จะมาจากต่างถิ่นโดยไม่คิดมูลค่า ส่วนผู้ชำนาญในการทำบั้งไฟ ก็เตรียมหาไม้และอุปกรณ์มาทำบั้งไฟ บั้งไฟมีความเล็กใหญ่แล้วแต่ความต้องการหรือตามความสามารถของผู้จัดทำ ที่มีขนาดใหญ่มี 2 ชนิด คือ บั้งไฟหมื่นและบั้งไฟแสนตามน้ำหนักของดินปืน บั้งไฟหมื่นใช้ดินปืนหนัก 12 กิโลกรัม (หนึ่งหมื่น) ถ้าบั้งไฟแสก็ใช้ดินปืนหนักสิบหมื่น (120 กิโลกรัม)บั้งไฟ คือ กระบอกไม้ไผ่ยาวประมาณ 2-3 เมตร ทะลุปล้องออกหรือกระบอกเหล็กกลม ๆ กลวงข้างในก็ได้ สำหรับใช้บรรจุดินปืน ตำดินปืนให้แน่นเกือบเต็มกระบอก โดยมีลิ่มอุดที่ปลายกระบอกข้างหนึ่งให้แน่น เอาดินเหนียวปิดปากกระบอกอีกข้างหนึ่ง เสร็จแล้วเจาะรูให้พอเหมาะแล้วเอาไม้ไผ่ขนาดเล็กเป็นท่อน ๆ ข้างกันมีข้อ ยาว ต่าง ๆ กันมาเป็นลูกบั้งไฟ โดยมัดรอบตัวบั้งไฟเพื่อให้เกิดเสียงดังเมื่อบั้งไฟอยู่ในอากาศ และมีไม่ไผ่ลำยาวทำเป็นหาง มีขนาดสั้นยาวแล้วแต่ขนาดของบั้งไฟ แล้วประดับประดาบั้งไฟด้วยกระดานสี ทำลวดลายต่าง ๆ กันแล้วแต่จะเห็นสวยงาม วันทำบุญ เมื่อถึงวันทำบุญ ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ทำบุญเตรียมทาอาหารการกินรับแขกและภัตตาหารสำหรับถวายพระภิกษุสามเณรที่มาร่วมงานส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านอื่น ๆ ที่ได้รับการบอกบุญ ก็จะมีทั้งผู้เฒ่าผู้แก่หนุ่มสาวและเด็กพร้อมทั้งบั้งไฟมาร่วมงานบุญที่วัด ซึ่งตามปรกติจะมาพร้อมกับพระภิกษุสามเณรที่มาร่วมงานบุญในงานบุญบั้งไฟพ่อแม่ยินดีให้ลูกสาวไปร่วมงานโดยไม่มีการขัดข้องเกี่ยงงอน ในงานบุญบั้งไฟมักจะมีการบวชนาคด้วย ก่อนบวชมีการฟังพระสวดมนต์ และถวายภัตตาหารเพล ตอนบ่ายตีกลองรวมประชาชน ทำพิธีสู่ขวัญนาคและทำพิธีบวชนาคก่อนจะมีการบวชนาค เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้บวช จะมีพิธีสู่ขวัญนาคก่อน ตัวอย่างคำสู่ขวัญนาคมีดังต่อไปนี้
คำสู่ขวัญนาค
ศรี ศรี สุมังคละสวัสดีวิเศษ อดิเรกชัยศรี สวัสดีจงมีแก่ฝูงข้าทั้งหลาย ทั้งเทพานาค ครุฑ เทวบุตร เทวดา อินทร์พรหมนมราชา จตุราทั้งสี่ ทุกที่พร้อมจักรวาล กับทั้งสถานเจ้าที่ จงพร้อมกันมาชมชื่นยินดี เชิงมังคลาศรีอันวิเศษ วันนี้พระเจ้าเกตุเข้าสู่ราศี เป็นดีสุดขนาด พิณพาทย์พร้อมตรียางค์ ทั้งนาวางค์คาดคู่ ตั้งเป็นหมู่สอนลอน พระอาทิตย์จรจันทร์ฤกษ์ อังคารถืกมหาชัยพุธพฤหัสไปเป็นโยค ศุกร์เสาร์ได้อมุตตโชตพร้อมลักขณาวันนี้ตามตำราว่าได้ฤกษ์ถืกหน่วยชื่อว่า อุตตมราศี เป็นวันดีอุตตมโชค อุตตมโยคอุตตมราชา อุตตมไชยา อุตตมเสฏฐา วันนี้เป็นวันลาภะอันล้ำเลิศ ประเสริฐมุงคุล ปุนแปลงดีแต่งแล้ว พาขวัญแก้วจึงยอมามีทั้งท้าวพญาเสนาและอำมาตย์ มีทั้งปราชญ์พร้อมมวลมา มีทั้งบุตตาและพ่อแม่ ทั้งเฒ่าแก่และวงศา พี่น้องพร้อมกันมานั่งสอนลอนทุกถ้วนหน้าไหลลั่งเทมาทั้งหญิงและสาวบ่าว ใจคิดอ่าวน่ายินดี เพื่อจักมาบายศรีนาคเจ้าจักได้พลัดพรากจากห้องเคหา จักได้ลาบิดาและมารดาออกไปบวช สร้างผนวชในศาสนาเจ้าก็คิดเห็นสังขารอันทุกขัง อนิจังอนันตาบ่มั่นบ่เที่ยง ฮู้บิดเบี่ยงไปมา เป็นอนิจจังบ่เลิกแล้ว บ่ได้ว่าหนุ่มแก่และชราผู้บังเกิดเป็นโรคาและพยาธิบ่ได้คลาดจากมรณา เจ้าได้คิดเห็นคุณบิดามารดาที่ได้เลี้ยงมาเป็นอันยาก เลี้ยงลำบากทุกวันคืน แต่อยู่ในอุทรท้องแม่ลำบากแท้เหิงนานเจียรกาบให้หนักหน่วงท้อง กินของเผ็ดและฮ้อนแม่ก็ค่อยเพียรรอดเจ้าก็อยู่ในกำหนด 10 เดือนบรบวนจนถ้วนทศมาสแล้ว เจ้าจึงคลาดแคล้วจากท้องแม่มารดา ม้มท้องมาเลิศแล้วลูกแก้วแม่เป็นชาย ฝูงตายายชมชื่น ยอยกยื่นเจ้าออกมา ผู้ลางคนหาไม้ได้แล้ว จึงตัดสายแห่แผ่สายบือ ลางคนถือกระบวยน้ำตักน้ำ ลางคนถือผ้าผืนกว้างมาตุ้มหุ่มนอน แม่จึงอุ้มเอาเจ้าใส่ในอก แล้วจึงยกเจ้าใส่ในเพลา แม่จึงเอาข้าวป้อนมื้อละ 3 คาบ อาบน้ำวันละ 3 ที แม่เจ้าก็ขัดสีลูบไล้ แม่เจ้าเอาใจใส่ทุกค่ำเช้ามีคา อันว่าเถิงฤดูปีใหม่มาฮอดแล้วฟ้าแผดฮ้องเสียงดังแม่เจ้าอุ้มใส่อู่ แม่เจ้าอุ้มสะสมสู่กินนม แม่ก็ชมลูกแก้ว คันว่าเลี้ยงใหญ่แล้วพอแล่นแล่นไปมาตามภาษาเด็กอ่อน ซะส่อนหน้าแล้วใหญ่เป็นคนเจ้าคิดถึงคำกังวลดั่งแค้น หน้าหมองแน่นในใจคิดอาลัยบ่แล้วคิดแล้ว ๆ อยากไปบวชในศาสนา เจ้าก็คิดถึงคุณบิดามารดาเป็นอันยิ่ง เจ้าจึงอำลำอุตสาห์เข้ามาบวช สร้างผนวชเป็นสามเณรเจ้าก็เฮียนสิกขาบทศศีลาธรรมอันวิเศษได้แล้ว บัดนี้อายุเจ้าก็ได้ถึงเขตเข้า 20 ปี บรบวนคักแน่ฝูงพ่อแม่จึงได้จัดหาเถิงศรัทธา ฮอดญาติพี่น้อง ตามพวกพ้องและมิตรสหาย บางพ่อศรัทธาหลายได้เสื่อสาดเป็นองอาสน์ปูนอน บางพ่องมีศรัทธาได้จีวรและผ้าพาด บางพ่องได้ผ้าอาดทั้งไตร ด้วยใจใสสุดขนาด บางพ่องได้บาตรและผ้าสบง บางพ่องได้ถงและน้ำเต้า ได้ไม้เท้าและตาลปัตร มีดตัดเล็บและกล่องเข็ม ดินสอและเครื่องประดับบริขารบริโภค บางพ่องได้โตกถ้วยและคนทีเหล็กจารดีอันคมกล้ากับเสื่อสารอาสนะทั้งศิลาน์และเมี่ยงหมากดูหลากด้วยเครื่องบริขารเป็นของอันเจตนาทานอันล้ำยิ่ง เพื่ออยากเห็นหน้าพระแก้วกิ่งเมตไตรยขออย่าได้ทรวัยอยู่ในโลก ขอให้ได้พ้นจากโศกโศกา ขอให้ได้เกิดมาในดุสิตล้ำเลิศ เมืองแก้วเกิดยอดนิพพาน เป็นที่สุขสำราญลือเดชขอให้พ้นจากทุกขเวทอยู่สวัสดี สัตตาธัมมาวุฒิธรรมทั้ง 7 ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ อโรคะถ้วน 5 ปฏิภาณะถ้วน 6 อธิปไตยถ้วน 7 จงเสด็จเข้ามาฮับษายังขันธสันดานแห่งฝูงข้าพเจ้าตราบต่อเท่าห้าพันพระวัสสาก็ข้าเทอญ ศรี ศรี สุมังคะ สุขะสวัสดี บัดนี้ข้อยจักเชิญเอาขวัญสมศรีเจ้านาคเข้ามาเต้า ข้อยจักเชิญเอาขวัญฝ่ายนาคเจ้าเข้ามาโฮม อัชชะ ในมื้อนี้วันนี้ ว่ามาเยอขวัญเอยขวัญหัวเจ้าหากไปอยู่ในวังน้ำเลิกนำปลา ก็ให้มาสามื้อนี้วันนี้ขวัญหัวเจ้าไปอยู่นาต่างด้าว ก็ให้มาสามื้อนี้วันนี้ ขวัญเจ้าไปอยู่นำท่านอีศวร ก็ให้มาสามื้อนี้วันนี้ขวัญเจ้าหากไปชมชื่นนำสาวส่ำน้อยก็ให้มาสามื้อนี้วันนี้ มาเยอขวัญเจ้าตาดเอย อย่าได้ไปชมชะนีไก่แก้วขันแจ้ว ๆ อยู่ภูผาเจ้าอยู่ได้ไปชมฝูงหมู่กวางคำทุกเนื้อเถื่อน อย่าได้ไปอยู่เป็นเพื่อนฝูงผี ขวัญเจ้าอย่าเดินคีรีและนอกเขตขวัญเจ้าอย่าได้เดินประเทศเที่ยวทางไกล อย่าได้หลงไหลชมหินผาและป่าไม้ อย่าได้แล่นนำหมู่ลิงลม ขวัญเจ้าอย่าได้ไปชมหมู่ลิงค่างเฒ่า หมู่นกเค้าและเสือสิงห์ ควายกระทิงและฮอกค่าง อย่าได้หลงเข้าเถื่อนกว้างถ้ำหมู่คูหา ทั้งวังปลาและสระใหญ่ ชื่นช้อนใส่มายาตระการตางามเฮื่องฮุ่ง ทั้งผักบุ้งและมู่บัวทองสะหมั่งกลางของหอมฮ่วงเฮ้า ขวัญเจ้านาคจงเข้ามาโฮม อัชชะในวันนี้ ให้มาอยู่ลี้ในใจทุกเมื่อ ให้มาอยู่ในเนื้อทุกยาม อย่าได้มีความกังวลและเดือนฮ้อนอย่าได้คิดดั่งค่อนฤทัยขอให้เจ้ามาเฮียนเอาพระวินัยปิฏกธัมมา อัตถาไขเฮืองฮอด ฮุ่งแจ้งซอดโสดา ให้เจ้าได้เทศนาสอนสั่งเป็นเจ้านั่งพิจารณ์ ขอให้เจ้านาคมีอายุยืนนาน ได้เป็นท่านสมภารบุญกว้าง อยู่สืบร้างในธรรม จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ขอให้เจ้านาคมีอายุยืนได้ฮ้อยขวบพระวัสสา ให้เจ้ามีเตชาผาบแพ้ฝูงหมู่โพยภัย อย่าได้มีความจังไฮมาบังเบียด อย่าได้ฮู้เดียดให้และหิงสา ให้มีใจกรุณายิ่งกว่าเก่า ขอให้เป็นเจ้าผ่านทั้งยศ ให้ปรากฎลือชา ในศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้เจ้านาคมีเตชะดั่งแสงสุริยะอาทิตย์ ประสิทธิเตโช อโรธะราชาธิราชเป็นดั่งอินทราธิราชเจ้าภูมินทร์ทั้งแดนดินอวยอ่อนน้อม ทุกท่านด้อมสาธุการ มาอวยทานชมชื่น ยกยื่นให้ของดียออัญชลีตั้งต่อคิดฮอดห่อสมภาร ถวายสักการทุกเมื่อ เฮืองเฮื่อแก้วเงินคำ แก่บูชานำทุกค่ำเช้า ตราบต่อเท่าชีวังให้มีหวังครองสืบสร้างธุระอ้าง 3 ประการ เฮียนกัมมัฏฐานได้ถี่ถ้วน ได้ครบล้วนทุกสิ่งอัน แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ให้ฮู้อย่าได้หัวคิดปู้ทางปัญญหา จงให้มีสามัคคีเพียงพร่ำพร้อม ใจอ่อนน้อมในธรรม อย่าได้มีความคิดนำทางโลกขอให้พ้นจากความเศร้าโศกโศกา ให้เจ้ามีสุขาเพียงพร่ำพร้อม ทุกค่ำเช้าบ่คลาดบ่คา จึงขอถวายบาทคาถาไว้ว่าชยะตุง ภะวัง ชยะมังคละ ชยะมหามุงคุล ความสุขสมบูรณ์จงมีแก่เจ้านาค ทุกภาคทุกประการก่อข้าเทอญ การฮดสรงหรือเถราภิเษก ในงานบั้งไฟ ตามประเพณีโบราณในตอนกลางวันก่อนหรือหลังพิธีบวชนาคบางทีจัดให้มีพิธีฮดสรงหรือเถราภิเษาแต่พระภิกษุสามเณรที่เห็นว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรมรูปใดรูปหนึ่งหรือหลายรูปซึ่งสมควรได้เลื่อนสมณศักดิ์ตามประเพณีโบราณ ที่เคยปฏิบัติกันมา พิธีฮดสรงหรือเถราภิเษก หากไม่ทำในงานบุญบั้งไฟ ประชาชนอาจจัดขึ้นในโอกาสใดโอกาสหนึ่งตามที่เห็นสมควรก็ได้ พิธีหดสรงหรือเถราภิเษามีพิธีปฏิบัติดังรายละเอียดต่อไปนี้
พิธีฮดสรงหรือเถราภิเษก
ธรรมเนียมเกี่ยวกับการบวชดั้งเดิม ตามประเพณีอีสานโบราณ ประชาชนผู้ชายเมื่ออายุพอบวชมักนิยมบวชเรียนในพระพุทธศาสนาเพราะประชาชนส่วนมากยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ผู้ที่มิได้บวชเรียนชาวบ้านเรียกคนนั้นว่า "คนดิบ" หรือ "คนตาย" หมายถึงเป็นคนไม่ได้รับการอบรมทางศาสนา จึงเรียกกว่า "คนดิบ" และคงเห็นว่าเกิดมาเป็นคนกับเขาเปล่าๆ ไม่ได้บวชเรียน จึงเรียกว่า "คนตาย" บางทีพูดเรียกคนผู้มิได้บวชนี้เป็นเชิงดูหมิ่นว่า เกิดมาเสียดายเปล่า ส่วนคนที่ได้บวชเรียนแล้ว เรียกว่า "คนสุก" ทั้งนี้คงจะถือว่าได้รับการอบรมทางพุทธศาสนามาแล้วอย่างสุกใสงดงาม ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือผู้ที่เคยบวชเรียนมาก เด็กหนุ่มบวชเป็นเณร นิยมเรียกว่า "จัว" หรือ "จังอ้าย" ถ้าคนแก่บวชเป็นเณร นิยมเรียกว่า "ตาเถร" ผู้บวชเป็นสามเณรเมื่อสึกมีคำเรียกนำหน้าชื่อคล้ายยศว่า "เชียง" หรือ "เชียงน้อย" เช่น เซียงมี เซียงสี เป็นต้น ส่วนผู้มีศรัทธา อุปสมบทเป็นภิกษุ นิยมเรียกภิกษุหนุ่มว่า "เจ้าหัว" หรือ "เจ้าหัวอ้าย" บางคนที่สนิมสนมคุ้นเคยเรียก "หม่อม" หรือ "หม่อมอ้าย" สำหรับคนที่ชวบเป็นภิกษุ ถึงแม้แก่แล้วอาจเรียก "เจ้าหัว" หรือ "เจ้าหัวพ่อ" หรือ "ครูบาพ่อ" พระภิกษุเมื่อลาสิกขาบท จะมียศเรียกนำหน้าว่า "หิต" หรือ "ทิด" แต่ถ้าพระภิกษุเคยมีสมณศักดิ์ลาสิกขาบท นิยมเรียกตามสมณศักดิ์ที่ได้รับ ได้แก่ ถ้ามีสมณศักดิ์เป็นสมเด็จหรือสำเร็จลึกแล้วจะเรียกว่า "อาจารย์" ถ้าเป็น ชา คู ดูหลักคำ ดูลูกแก้ว ดูยอดแก้ว สึกแล้วเรียกว่า "จารย์ชา" จารย์ดูจารย์ดูหลักคำ จารย์ดูลูกแก้ว อาจารย์คูยอดแก้ว เป็นต้น ตามฐานะในขณะที่ยังบวชอยู่เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้ว หากได้ฝึกฝนอบรมไปตามทำนองคลองธรรม พระภิกษุสมเณรนั้นก็จะได้รับการยกย่องสรรเสริญยิ่งขึ้น ด้วยการแต่งตั้งชั้นยศไปตามฐานานุรูป การเลื่อนชั้นยศและตำแหน่งนี้ตามธรรมเนียมชาวอีสานที่มีการแต่โบราณก็คือ การ "ฮดสรง" ได้แก่ การรดน้ำ สรงน้ำ พระภิกษุสามเณรผู้มีคุณสมบัติขึ้นไปตามฐานะ ตรงกับคำว่า "เถราภิเษก" นั้นเอง การทำพิธี "ฮดสรง" เช่นนี้ก็เพื่อเป็นการยกย่องชูเกรียติคุณให้ปรากฎ และเป็นการถวายกำลังใจ แด่พระภิกษุสามเณรผู้กระทำความดีให้ได้ทำดียิ่งขึ้นและเป็นการชักจูงให้ผู้อื่นเห็นผลการกระทำดี จะได้กระทำความดีแบบอย่างต่อไปนี้
สมณศักดิ์ของชาวอีสานโบราณ ลำดับสมณศักดิ์ของชาวอิสานโบราณ นิยมถือตามแบบอย่างมาจากชาวเวียงจันทร์ ซึ่งแบ่งเป็นชั้น ๆ ดังนี้
1. ชั้นสำเร็จ (แบ่งแห่งเรียก สมเด็จ)
2. ขึ้นชา (ปรีชา)
3. ชั้นคู (ครู)
4. ชั้นราชคู (สำหรับครูบาอาจารย์สอนลูกเจ้านาย)
5. ชั้นเจ้าหัวคูฝ่าย
6. ชั้นเจ้าหัวคูค้าน
7. ชั้นเจ้าหัวคูหลักคำ
8. ชั้นเจ้าหัวคูลูกแก้ว
9. ชั้นเจ้าหัวคูยอดแก้ว
10. ราชคูหลวง สมณศักดิ์ตามข้อ 1 ถึงข้อ 4 เป็นสมณศักดิ์ยกย่องฝ่ายปริยัติ ส่วนข้อ 5 ถึงข้อ 10 เป็นสมณศักดิ์ฝ่ายบริหาร การเลื่อนสมณศักดิ์ฝ่ายปริยัติ พระภิกษุสามเณรจะได้รับสมณศักดิ์ชั้นใด จะต้องได้รับการศึกษาเป็นบันไดไต่ขึ้นเป็นชั้น ๆ ตามหลักสูตร การแบ่งหลักสูตรการศึกษาในสมัยโบราณมี 3 ชั้น หลักสูตรชั้นหนึ่ง ๆ เรียกว่า "บั้น" ซึ่งมีดังนี้
ก. บั้นต้น
1. สูตรมนต์น้อย คือ ตั้งมุงคุลน้อย ได้แก่ 7 ตำนาน สูตรมนต์หลวง คือ ตั้งมุงคุลหลวงได้แก่ 12 ตำนาน ไชยน้อย ไชยใหญ่ จบบริบูรณ์
2. สูตรมนต์กลาง คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มหาสมยสูตร อนัตตขณสูตร อาทิตตยปริยายสูตร มาติการ แจง อภิธรรม 7 คัมภีร์ พระวินัย พระสูตร
3. สูตรมนต์ปลาย คือ สัททา (บาลีมูลกัจจายนสูตร) อภิธัมมสังคหบาลี ปาฏิโมกข์ บาลี ท่องให้ได้
ข. บั้นกลาง
4. เรียนสูตรมูลกัจจายนะ เริ่มสามัญญาภิกธาน - สนธิ เป็นต้นไป ดุจเรียนบาลีไวยากรณ์ในสมัยนี้5. แปลคัมภีร์บาลีอัฏฐกถาทั้ง
5. คือ พระวินัย อัฏฐากถาอาทิกรรม อัฏฐาถาปาจิตตีย อัฏฐกถาจุลลวรรค อัฏฐานกถามหาวรรค อัฏฐกถาปริวารวรรค
6. อัฏฐกถาธรรมบทบาลี 8 ภาค
ค. บั้นปลาย
7. คัมภีร์ทสชาติบาลี
8. มังคลัตทีปนีบาลี
9. อัฏฐกถาวิสุทธมรรคบาลี
10. อัฏฐกถาอภิธรรมสังคหะบาลี
นอกจากนี้ ยังมีปกิณกะเบ็ดเตล็ดอีกมาก แล้วแต่ใครจะเรียนอะไร
การเรียนส่วนใหญ่มีการท่องจำตามลำดับ อาจเรียนท่องต่อปากอาจารย์หรือในหนังสือที่จารในใบลาน หนังสือที่ใช้เรียน โดยมาต้องจารเองเรียบร้อยจึงเรียน อักษรที่ใช้จารมีอักษรขอมบ้าง อักษรไทยโบราณซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ตัวธรรม" หรือ "อักษรธรรม" ที่เรียกเช่นนี้คงจะเนื่องจากอักษรเช่นนี้ใช้เป็นอักษรจารึกพระธรรมวินัย คนโบราณเคารพอักษรขอม และอักษรธรรมนี้มากจะเหยียบย่ำหรือเอาไว้ที่ต่ำไม่ได้ถือว่าบาปหนักสมณศักดิ์ผู้เรียนจบ เมื่อท่องบ่นจบหลักสูตรชั้นนั้น ๆ ก็ดี เล่าเรียนหลักสูตรที่ท่องบ่นไปกับอาจารย์ชั้นนั้น ๆ ก็ดี ถือว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเฉียบแหลม ทางพระปริยัติธรรมมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป ถือว่ามีบุญวาสนาดี ต่างได้รับเกียรติยกย่องสรรเสริญและจะได้รับการถวายสมณศักดิ์ดังนี้
1. ชั้นสำเร็จ ผู้ที่จะได้ฐานันดรศักดิ์เป็นชั้นสำเร็จ จะต้องเรียนจบหลักสูตรบั้นต้นก่อน จะเป็นจัวหรือเจ้าหัวก็ได้ ย่อมได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นชั้นสำเร็จทั้งนั้น ทั้งนี้อาจจะเนื่องจาก ท่องบ่นจำได้สำเร็จในสวดมนต์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร เมื่อเป็นสำเร็จการเรียกเจ้าหัวเรียกสับเปลี่ยนกัน คือ ถ้าเป็นจัว ใช้คำว่า สำเร็จนำหน้า แล้วใส่ชื่อจัวรูปนั้น ๆ ต่อข้างหลัง เช่น สำเร็จจัวสา สำเร็จจัวมา ฯลฯ ถ้าเป็นเจ้าหัวใช้คำว่า สำเร็จไว้หลัง เช่น เจ้าหัวสำเร็จสี เจ้าหัวสำเร็จมี เป็นต้น
2. ชั้นชา คำว่า "ชา" คงหมายถึงปรีชา นั่นเองแต่ตัดคำต้นออกคงไว้เพราะชาตัวเดียวซึ่งหมายถึง ฉลาด รอบรู้ หรือคงแก่เรียน ตรงกับคำว่า ปริญญาหรือเปรียญในปัจจุบัน ผู้ที่จะได้เลื่อนสมณศักดิ์ชั้นนี้จะต้องผ่านชั้นสำเร็จมาก่อน แล้วพยายามเล่าเรียนจบหลักสูตรบั้นกลาง จนมีปรีชาสามารถรอบรู้แตกฉานแตกในพระไตรปิฏกควรแก่การเลื่อนสมณศักดิ์ชั้นนี้ จะเป็นจัวหรือเจ้าหัวก็ได้ ถ้าเป็นจัวเรียกว่า ซาจัว ถ้าเป็นเจ้าหัวเรียกว่าเจ้าหัวซาแล้วใส่ชื่อจั่ว เจ้าหัว ต่อท้าย เช่น ซาจัวขาว เจ้าหัวซาแดง เป็นต้น
3. ชั้นคู ผู้ที่จะได้ชั้นนี้ จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ 2 ประการคือ
1. เรื่องอายุ พรรษา จะต้องพ้น นวกภูมิและมัชฌิมภูมิ ตั้งอยู่ในเถรภูมิ เรียกว่า มีวัยสมบัติอย่างหนึ่งและ
2. เรื่องคุณวุฒิ จะต้องผ่านชั้นสำเร็จและชั้นซามาแล้ว มีอุตสาหะวิริยะ เล่าเรียนจบหลักสูตรบั้นปลายและค้นคว้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้น อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่า พหูสูต สมควรเป็นครูบาอาจารย์ได้ จัวเรียกว่าคูจัว เจ้าหัว เรียก เจ้าหัวคู เช่น คูจัวทอง เจ้าหัวคูเงิน เป็นต้น อนี่งผู้มีสมณศักดิ์เป็นชั้นคูนี้ถ้าได้รับการนิมนต์เป็นครูอาจารย์สอนลูกเจ้านายหรือพระราขโอรส ร่วมกับปุโรหิตาจารย์ ก็เรียกว่า ราชคูจัว เจ้าหัวราชคู การเลื่อนสมณศักดิ์ฝ่ายบริหาร ตำแหน่งสมณศักดิ์ฝ่ายบริหารของชาวอีสานโบราณนั้น ผู้จะได้ตำแหน่งเหล่านี้ตามปรกติจะต้องมีคุณสมบัติต่อจากฝ่ายปริยัติ 3 ขั้นดังกล่าวแล้วก่อน แต่อาจมีข้อยกเว้นสำหรับพระภิกษุผู้มีคุณธรรมสูง เป็นที่เชื่อถือและเคารพนับถือของพระภิกษุสามเณรและประชาชน ตำแหน่งฝ่ายบริหารมีดังนี้
1. ดูฝ่ายหรือเจ้าหัวคูฝ่าย เป็นตำแหน่งปกครองหมู่สงฆ์ส่วนหนึ่ง หรือฝ่ายหนึ่งและผู้จะรับตำแหน่งนี้ปรกติจะต้องเป็นเจ้าหัวคูมาแล้ว ซึ่งมีความรู้สามารถพอที่จะอบรมสั่งสอน และปกครองคณะสงฆ์ตลอดประชาชนพลเมืองให้ประพฤติปฏิบัติไปตามฮีตคอง (จารีตประเพณี) อันดีงาม ตำแหน่งนี้อาจเทียบได้กับเจ้าคณะหมวดหรือเจ้าคณะตำบลในปัจจุบัน
2. ดูด้านหรือเจ้าหัวคูด้านเป็นตำแหน่งปกคองหมู่สงฆ์ส่วนหนี่งจะมีอำนาจที่ต่างกับดูด้านอย่างไรยังคลุมเคลือไม่ชัดเจน บางท่านกล่าวว่าดูด้านเทียบกับเจ้าคณะแขวงหรือเจ้าคณะอำเภอในปัจจุบัน
3. ดูหลักคำ เป็นตำแหน่งยศ ซึ่งปกครองคณะสงฆ์ในเขตกว้าง ประกอบกับผู้มั่นคงในพระธรรมเป็นหลักในการประกอบศาสนกิจเทียบได้กับหลักหล่อด้วยทองคำ บางทีเรียกว่า เจ้าหัวคูหลวง คงจะเนื่องจากได้รับแต่งตั้งจากหลวงหรือพระมหากษัตริย์ ตำแหน่งนี้เทียบได้กับคณะจังหวัดเพราะเมืองหนึ่งมีได้เพียงรูปเดียว
4. คูลูกแก้ว การแต่งตั้งดูลูกแก้ว ส่วนมากคงมีเฉพาะเวียงจันทร์และหลวงพระบางซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา คงเหมือนเป็นทายาทของคูยอดแก้ว หรือมิฉะนั้นก็ช่วยราชภาระบริหารรองคูยอดแก้วซึ่งคล้อยรับภาระด้านบริหารฝ่ายซ้ายของราชคูหลวง คูยอดแก้วนั้นบริหารฝ่ายขวา ท่านผู้เป็นราชคูหลวงเป็นประมุขสงฆ์ตำแหน่งพระสังฆราชนั้นเอง 5. คูยอดแก้ว เป็นตำแหน่งรับสนองพระบัญชา ดุจตำแหน่งบัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช เท่ากับตำแหน่งสังฆนายก ผู้จะได้รับตำแหน่งนี้จะต้องมีคุณสมบัติเป็นที่เคารพยำเกรงของสังฆมณฑล และประชาชนทั่วไปทั้งแคว้น ตำแหน่งนี้คงมีเฉพาะเมืองเวียงจันทน์เท่านั้นและตำแหน่งนี้สำคัญเท่ากับเป็นรองสมเด็จพระสังฆราช และคงจะเป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปณาเถราภิเษกด้วยพระองค์เอง
6. ราชคูหลวง คงเป็นตำแหน่งพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดทางคณะสงฆ์และคงมีแต่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้นพิธีการเถราภิเษก ในสมัยโบราณพิธีเถราหรือฮดสรง ซึ่งเป็นพิธีเลื่อสมณศักดิ์แต่พระสงฆ์ตามประเพณี มักมีตามหัวเมืองต่าง ๆ อาจจะจัดทำพิธีขึ้นโดยเฉพาะหรือในงานบุญตามประเพณี เช่น บุญบั้งไฟซึ่งนิยมทำในเดือนหก เป็นต้น ผู้ดำเนินการอาจะเป็นเจ้าผู้ครองเมืองพร้อมด้วยท้าวเพีย หรือตาแสง นายบ้าน(กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับประชาชนจัดประกอบพิธีขึ้น ส่วนพิธีเถราภิเษกโดยพระมหากษัตริย์แต่งตั้งโดยพระองค์เองเท่านั้น คงจะมีพิธีใหญ่โตและจัดบริขารเครื่องยศถวายเป็นพิเศษและจะจัดอย่างไรไม่ค่อยทราบรายละเอียด
ส่วนพิธีเถราภิเษก หรือฮดสรงที่ทำในท้องถิ่นภาคอีสานมีดังต่อไปนี้
ก. อุปกรณ์การฮดสรง
1. บริขารเครื่องยศ ธรรมเนียมการสถาปนาแต่งตั้งพระภิกษุสามเณร ผู้ทรงคุณวุฒิ เฉียบแหลมพระธรรมวินัย และเพียบพร้อมด้วยคุณความดี ให้ได้รับสมณศักดิ์ตามขั้นนั้น นิยมจัดหาบริขารเครื่องยศเพื่อถวายบูชาคุณความรู้ ความอุตสาหะวิริยะ ฯลฯ คล้ายเป็นของขวัญ และเครื่องแสดงคุณความดี มี 1. เครื่องครองของพระภิกษุสามเณรที่ฮดสรง มีอัฐบริขาร 8 ได้แก่ ผ้าจีวร 1 ผืน ผ้าสังฆาฏิ 1 ผืน ผ้าสบง 1 ผืน รัดประคด 1 สาย มีดโกน 1 เล่ม กล่องเข็ม 1 กล่อง ธรรมกรก 1 อัน และมีดตัดเล็บ 1 เล่ม นอกนี้มีผ้าห่มสีเหลืองหรือสีแดง 1 ผืน รองเท้าคีบ 1 คู่ ไม้เท้าเหล็ก 1 อัน หมวก (หว่อม) ทำด้วยผ้าสีแดงปักด้วยไหมทอง สำหรับสวมทำเป็นเกศ 1 ใบ และเม็ง (เตียงนอน)
2. ตาลปัตรรูปใบโพธิ์ ปกติใช้ปักด้วยเส้นไหม
3. หลาบเงินหรือหลาบทอง เหตุที่ให้ชื่อว่า บริขารเครื่องยศ เพราะจัดหามอบถวายให้ในขณะที่ได้รับสถาปนาแต่งตั้ง คือ ได้รับยศแต่งตั้งหลาบเงิน คำว่า หลาบ เป็นศัพท์เก่าแก่ของชาวอีสาน หมายถึง ทรวงทรง สัณฐาน ความสวยงาม เช่น "คนนี้ได้หลายได้ลายดี หรือมีหลาบหลาย" หมายถึง เป็นคนที่มีทรวงทรงเหมาะสม สวยงาม หลาบเงิน คือ หลาบที่ทำด้วยเงิน ตีเป็นแผ่น ซึ่งมีลักษณะดังนี้
1. หลาบชั้นสำเร็จ กว้าง 1 นิ้ว เป็นแผ่นเงิน หนาประมาณครึ่งเซนติเมตร หรือ 1 เซนติเมตร ยาว วัดจากคางถึงลูกตาหรือวัดจากหางคิ้วซ้ายผ่านหน้าผากจนถึงหางคิ้วขวาใช้หลาบเดียวฮดครั้งเดียว
2. หลาบเงินขั้นซา กว้าง 1 นิ้ว เป็นแผ่นเงิน หนาประมาณครึ่งเซนติเมตรหรือ 1เซนติเมตร ยาวกจากหูซ้ายถึงหูขวา ตำแหน่งซา ฮดถึง 3 ครั้งเรียกว่า ซา 1 หลาบ ซา 2 หลาบและ 3 หลาบ
3. หลาบเงินชั้นคู กว้าง 1 นิ้ว หนาประมาณครึ่งเซนติเมตรหรือ 1 เซนติเมตร เป็นแผ่นเงิน ยาววัดจากง่อน (ท้ายทอย) ทางด้านซ้ายถึงด้านขวา หรือวัดรอบศรีษะ ตำแหน่งดู ฮดถึง 3 ครั้ง เรียกว่า คู 1 หลาบ คู 2 หลาบ คู 3 หลาบ ขนาดความยาวของหลาบเงินนั้น ส่วนมากจำได้กันทั่วไปว่า เพราะมีคำพูดว่า "สำเร็จเพียงตา ซาเพียงหู คูเพียงง่อย" ฮดครั้งใดจะได้รับหลาบเงินทุกครั้ง ถึงขั้นสูงสุดจึงได้หลาบเงินถึง 7 หลาบหลาบนี้ถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้ได้รับการฮดสรง ดังนั้น หากสึกจากพระภิกษุสามเณรแล้ว นำเอาหลาบติดตัวไปได้ข้อความจารึกในหลาบ เมื่อตีหลาบแล้ว นำหลาบใส่พาน ทำการจารึกเป็นอักษรขอม (ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันก็อาจจารึกด้วยอักษรไทยที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็ได้) ข้อความที่จารึกมักไม่เหมือนกันทั่วไป แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น ตัวอย่างข้อความจารึกในหลาบมีดังนี้ "โส อตฺถลทฺโธ สุขิโต วิรุฬ?โห พุทฺธศาสเน อโรโค สุขิโต โหหิ สหสพฺเพหิ ญาติภิ จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ" นอกจากนี้ ยังตระเตรียมตัวจัดหาใบลาน เพื่อเขียนคำประกาศ ซึ่งมีลักษณะคล้ายสัญญาบัตรโดยใช้ใบลานขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ตัดยาวประมาณ 1 คืบกว่า และเขียนด้วยอักษรขอมเช่นเดียวกับหลาบคำประกาศนี้อาจเขียนแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ตัวอย่างข้อความมีดังนี้ " ศรี ศรี ศุภมังคลุมะ ฑีฆายุวัฑฒนะ พุทธศักราช…………..(บอกพุทธศักราชปัจจุบัน) อภิราชเฮืองโฮม…….(บอกฤดู) เหมันตะกาลนิยม พรหมทินโนตม์ พระจันทร์แจ้งโชติใสแสง แฝงนักขัตตะยุตตมะราชาฤกษ์ ถือหน่วย ชื่อว่า…………..(บอกฤกษ์แต่งตั้ง) ภรณี สุกใสดี สนิท อันสถิตอยู่ใน………..(บอกราศี) เมษราศี สุกใสดี บ่อเศร้า ภายในสังฆราช ดูเป็นเค้า ภายนอกมีเจ้า……………(บอกชื่อผู้เป็นประธานฝ่ายฆราวาส) เป็นประธานกับทั้งบุตรหลานกรมการใหญ่น้อยสิบฮ้อยท้าวพระยา พร้อมกันน้อมนำมาซึ่งบริขารและน้ำมุทธาภิเษก คติเรกพระพร แถมนามกรตื่มยศ ฮดให้เป็น……..(ออกชื่อเดิมตำแหน่งเดิม)ขึ้นสู่……..(หลาบเงินเรียก หิรัญรัชฏะ ปัตตา หลาบทองเรียก สุวัณณะรัชฏะปัตตา) ให้ชื่อว่า……..(ชื่อยศที่ได้รับแต่งตั้งใหม่) ทะรงคัมภีร์ปัญญาและสุขุมปัญญา ศาสนูปถัมภ์สัมปันนะวิโรจน์ เถราภิเษกมหามุงคุล ขอจงวุฒิจำเริญฮุ่งเฮืองในพุทธศาสนาเทอญ" หรืออาจเขียนว่าดังต่อไปนี้ "ศรี ศรี ศุภมังคละ อุตตมาภิรมย์ พรหมศรีสวัสดีฑีฆายุ วัณณะ สุขะ พละ วัฒโน อัฆฐยุตตระ จตุรถาธิกานิ เทวะลังวัจฉะ ระหะหัสสานิอติกกัณตานิ ศักราช……….(บอกพุทธศักราชปัจจุบัน) ปกติมาส พิลาสเฮืองโอมพรหม………(บอกฤดู) คิมหันตะ วิสาขะเส สุกกะปักเขปฏิปาเทติ วารดิถี ระวิวารภิรมย์ ไชยเชษฐสยม สายัณหกาลนิยม พรหมจรรย์วิโรจน์ แจ้งโชติใสแสง แฝงกันจันทร์ นักขัตตนุต อุตตมมหาราชฤกษ์ ถืกหน่วยชื่อว่า……….(บอกฤกษ์แต่งตั้ง) อัสสวันนี้ลูกสนิท อันสถิตอยู่ใน……..(บอกราศี) พฤษภราศี สังฆสามัคคี ภายในมีเจ้าพระคุณ…….(ออกชื่อและตำแหน่งพระเถระผู้ประธาน) เป็นเค้ากับทัเงอันเตวาสิกทั้งปวง ภายนอกมี………(ออกชื่อและตำแหน่งประธานฝ่ายฆราวาสเป็นต้นเป็นประธาน มีใจชมชื่นพร้อมกันโมทนากับอุบาสกอุบาสิกาใหญ่น้อยเป็นปริโยสานกับทั้งปุตตานัดดาในคามวาสีเป็นเอกศรัทธา จึงมีใจเลื่อมใสชมชื่น ได้แล้วยื่นยอทาน มีใจบานสร้อยโชติ พี่น้องโสดช่วยโมทนา เจตราศรัทธาพร่ำพร้อมใจอ่อนน้อมในธรรมจึงพร้อมกันนำมา……..(หลาบเงินเรียกหิรัญรัชฎะปัตตา หลาบทองเรียกสุวัณณะรัชฏะปัตตา)ยังเงินขาวและคำแดงดี มาตีแปลงเป็นหลาบโสภาพเพี้ยงเสมอดังใบลานกับทั้งเครื่องบริขารอันวิเศษกับทั้งน้ำบ่อแก้วภิเษกมูรธา ภิสิณธุจะด้วยน้ำอบและน้ำหอม จึงพร้อมนำมาซึ่งเครื่องเถราภิเษก อดิเรกนามยศฮดสรง ปลงประสิทธิพระพร แถมนามกรเจ้า……………(ออกชื่อและตำแหน่งเดิมของผู้ให้รับฮดสรง) ขึ้นยศใหญ่ใส่ชื่อว่า……..(ออกชื่อยศที่ได้รับแต่งตั้งใหม่) ในพื้นหิรัญรัชฏะปัตตา หรือ สุวัณณะรัชตะปัตตา สมเด็จพระธรรมโคตรวงศา อันประกอบไปด้วยวิริยปัญญาปิฏกะ พระราชจตุปริสุทธิศีล มธุรสาภาณี ชินบุตรอุตตมปุญโญ ปฐมสมโพธิโชติปาละ เจ้าแล" ความนิยมเก่าแก่ จัดหากระบอกไม้ไผ่โตประมาณแขนกิ่ว (ข้อมือ) ตัดเลยขอทางนั้นทางนี้ยาวประมาณนิ้วมือ ใช้ตัดตรงกลางให้ขาด ทำลิ้นสวมกันได้ชนิดบั้งบี้ (กระบอกใส่ใบเสร็จ) ขัดให้สวยงาม เหลือผิวนอกไว้ตากแดดให้แห้งพอสมควร จึงลงรักปิดทอง ให้ลายทองรดน้ำบ้างลายทองเทพนมบ้าง เรียกว่า "บั้งหลาบ" สำหรับใส่หลาบและใบประกาศ จะทำการสถาปนาเถราภิเษกจำนวนกี่รูปก็ทำถวายรูปละบั้ง ๆ ให้ครบทุกรูปบางครั้งทำไม่ทันก็ยืมของรูปใดรูปหนึ่งก่อนก็ได้ ในชนบทแห่งทำการเถราภิเษกยังจัดหาทองคำตีเป็นแผ่นแทนหลาบก็มี อาจหนักหนึ่งสลึง สองสลึง สามสลึง หนึ่งบาท หรือสองบาทก็ได้
2. เครื่องประกอบการฮดสรง
1. ฮางฮด (รางรดน้ำสรง) ทำรางด้วยไม้เป็นรูปพญานาค ซึ่งทำเป็นลวดลายลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ตรงคอนาคเจาะเป็นรูกลมสำหรับให้น้ำไหลลงที่ห้องฮางฮดเอาเหล็กกลมๆทำเป็นราวสำหรับติดเทียนบูชา1 ราว
2. เทียนกึ่งหรือเทียนง่า คือ เทียนที่นำมาประกอบติดกันเหมือนกิ่งไม้ 3 คู่ และเทียนกาบ 3 คู่ สำหรับจุดบูชาที่ราวเทียนในฮางฮดสรง
3. เทียนเล่มบาท 1 คู่ เทียนหนักเล่มละ 1 บาท 2 เล่ม สำหรับเป็นเทียนบูชา
4. เทียนเล่มเบี้ย 1 คู่ หนักเล่มละ 2 บาท ใช้มะพร้าวอ่อน 2 ลูก เจียนหัวท้ายให้สวยงาม ปักเทียนไว้บนหัวมะพร้าว
5. ขันหมากเบ็ง 1 คู่
6. เทียนเล็ก 1 คู่ พร้อมดอกไม้สำหรับให้ผู้รับการฮดสรงถือบูชา ขณะฟังผู้เฒ่าอ่านประกาศ
7. หินก้อนโต 1 ก้อน สำหรับให้ผู้รับการฮดสรงเหยียบในขณะฮดสรง ที่ใต้ก้อนหินมีใบคูณใบยอหญ้าแพรกและใบตองรองไว้
8. โอ่ง สำหรับใส่น้ำหอมพร้อมน้ำอบน้ำหอม (น้ำอบน้ำหอม ปรกติผู้ไปร่วมพิธีต่างจัดทำไปเอง)
9. บายศรี 1 คู่ พร้อมเทียนอาดหรือเทียนชัย ปักบายศรีข้างละ 1 เล่ม
นอกนี้มีอุปกรณ์อื่น ๆ ตามความจำเป็นขั้นตอนในพิธีฮดสรง
ก. ตั้งกองฮดสรง นำบริขารเครื่องยศที่กล่าวข้างต้น ได้แก่ อัฐบริขาร ตาลปัตรหลาบเงินหรือหลาบทองพร้อมเครื่องประกอบการฮดสรงบางอย่าง ได้แก่ เทียนกิ่งหรือเทียนง่าเทียนกาบ เทียนเล่มบาท เทียนเล่มเบี้ยขันหมากเบ็งและบายศรี เป็นต้น นำมาจัดบนศาลาโรงธรรมโดยจัดตั้งเป็นชุดหรือกองตกแต่งให้สวยงาม เรียกว่า กองฮด
ข. แห่สมโภชมุงคุล ในวันรวมหรือวันโฮม เวลาประมาณบ่าย 3 โมง ปรกติจะมีการแห่เครื่องยศและเครื่องประกอบการฮดสรงที่ตั้งไว้กองฮดมีหม้อน้ำอบน้ำหอมเข้าขบวนแห่ด้วย จัดขบวนยานหามพร้อมด้วยฆ้อง กลอง พิณพาทย์ มโหรี การจัดขบวนมีจัดยานหามเทียบข้างศาลาโรงธรรม นิมนต์พระสังฆเถระสวมเถราภิเษกมงคล (หมวกหรือหว่อม) ให้ที่ศีรษะผู้รับโอสรง มอบตาลปัตรให้ด้วยแล้วจึงหามพระสังฆเถระออกหน้าพร้อมผู้รับการฮดสรง อุ้มผ้าไตรและถืออุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้นแห่ไปในขบวนจะมีพลุ ตะไลจุดก็ได้ แห่รอบวัดหรือศาลาโรงธรรมแล้วแต่สะดวก 3 รอบ เสร็จพิธีแห่แล้ว นิมนต์พระภิกษุสามเณรขึ้นบนศาลาโรงธรรม พร้อมนำอุปกรณ์ฮดสรงไปประดิษฐานไปตามเดิม จึงทำพิธีสมโภชมุงคุล ดังนี้
1. จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ตั้งบาตรน้ำมนต์ไหว้พระรับศีล เสร็จแล้วอาราธนาปริตตมงคล
2. พระสงฆ์สวดป่าวสัคเค ลวดมุงคุลน้อย มุงคุลหลวง ไชยน้อย ไชยใหญ่ และนิมนต์พระภิกษุสามเณรผู้รับฮดสรง นั่งฟังเจริญพระพุทธมนต์จนจบ
3. กลางคืนจะมีมหรสพสมโภชก็ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควร
4. วันรุ่งขึ้น ถวายอาหารบิณฑบาตเช้า และมีฟังเทศนาอานิสงส์ด้วยกันก็ได้
ค. จัดสถานที่ฮด เพื่อเป็นสิริมงคล การฮดสรงนิยมจัดสถานที่ฮดสรงดังนี้
1. ตั้งฮางฮด (รางรดน้ำสรง) ห่างจากศาลาโรงธรรมประมาณ 10 วา เป็นอย่างน้อย ปลูกต้นกล้วยต้นอ้อยสองข้างทาง ใช้ผ้าขาวคาดเป็นเพดานจากโรงธรรมถึงฮางฮด ผินหัวนาคฮางฮดไปทางทิศเหนือ หางนาคไปทางทิศใต้ ทำห้องสรงไว้ทางหัวนาค ปลูกต้นกล้วยต้นอ้อยไว้รอบห้องสรงให้เหลือทางเข้าไว้ กั้นห้องสรงให้มิดชิด และให้หัวนาคอยู่ตรงบนห้องสรง หางนาคให้อยู่นอกห้องสรงปลูกศาลเพียงตาขึ้นที่สองข้างฮางฮด สำหรับตั้งบายศรีซ้ายขวา นำก้อนศิลามงคลไปวางไว้ใต้ฮางฮด ตรงคอพญานาค โดยมีใบคูณใบยอ หญ้าแพรกและใบตองรองพื้น เอาผ้าผืนบาง ๆ ห่อพันกล่องหลาบ รองลงที่คอพญานาค ติดเทียนกิ่งหรือเทียนง่าและเทียนกาบตรงราวเหล็กที่ฮางฮด
2. ตั้งโอ่งน้ำอบน้ำหอมไว้ใกล้บริเวณห้องสรง จัดใบคูณใบยอไว้อย่างละ 7 ใบ วางไว้ตรงรางน้ำสรงไหลลง ใช้ผ้าขาวห่อรางน้ำเพื่อกรอง และใช้ใบโพธิ์ 7 ใบ ใส่ห่อผ้าขาวหรือจะใส่เครื่องรางของขลังด้วยก็ได้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์นัก 3. สมมติตาผ้าขาวเป็นพราหมณ์ 4 คน นุ่งขาวห่มขาว ถือไม้กระบองและไม้แบ ยาวประมาณ 1 วา ยืนรักษาทิศทั้งสี่ อยู่ในบริเวณห้องสรง
ง. พิธีสถาปนา เมื่อได้เวลาศุภฤกษ์มงคลดิถี พระสงฆเถระผู้เป็นประธานในสงฆ์จัดพิธีสถาปนาดังนี้
1. มอบตาลปัตร ไม้เท้าเหล็ก สวมกระโจมมงคล (หมวกหรือหว่อม) จับไม้เท้าเหล็กต่อๆ กันไป เดินจากโรงพิธีสู่ห้องสรง ระหว่างนี้ญาติโยมจะเข้าไปเกาะชายจีวรผู้รับการฮดสรงคล้ายจูงนาคเข้าโบสถ์ก็ได้
2. โยมผู้ชายพร้อมกันนอนคว่ำ (นอนเหมบ) เรียงกันไปถึงห้องสรง เพื่อให้พระเถระและผู้รับการฮดสรงเหยียบบั้นเอว ถือว่าศักดิ์สิทธิ์หายเจ็บหลังปวดเอวดีนัก
3. ถึงห้องสรงแล้ว พระสังฆเถระพร้อมพระพิธีหรือผู้เฒ่าจุดเทียนกิ่งหรือเทียนง่า และเทียนกาบบนฮางฮด แล้วพระพิธีกลับโรงพิธีเหลือพระสังฆเถระในห้องฮด
4. พระสังฆเถระถอดกระโจมมงคล (หมวกหรือหว่อม) ออกเอามือจับบ่าซ้ายขวาหมุนไปขวา 3 รอบ เป็นประทักษิณ จึงนิมนต์นั่งบนตั่งพิธี ฝ่าเท้าเหยียบบนหินมงคล ประนมมือ กระทำจิตระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
5. ญาติโยมนั่งถือไตรจีวรพร้อมตั้งนโม ฯลฯ 3 จบ กล่าวถวายไตรจีวรว่า อมานิ มยํ ภนเต ตีจีวรานิ สปริวารานิ ภิกขุสีลวนตสส นิยยาเหมสาธุโน ภนเต อิมานิ ติจีวรานิ ภิกขุสีลวนโต ปฏิคคณหาตุ อมหากํ ฑีฆรตตํ หิตาย สุขาย ภิกษุสามเณรผู้รับการฮดสรงรับสาธุพร้อมกัน ญาติโยมถวายผ้าไตรจีวร ภิกษุสามเณร ผู้รับนั้นทำกับปะพินทุ แล้วมอบให้โยมถือไว้ก่อน
6. ญาติโยมนำว่าคำถวายน้ำหอม ดังนี้อิมานิ มยํ ภนฺเต คนฺโธทกานิ เถราภิเสกตฺถาย ภิกฺขสีลวนฺ ตสนส นิยฺยาเทมทุติยมฺปิ มยํ ภนฺเต ฯลฯตติยมฺปิ ภนฺเต ฯลฯอมฺหากํ ฑีฆรตฺตํ สํวตฺตนฺตุ สาธุ ๆ ๆ จึงนำน้ำหอมถวายพระสังฆเถระ จัดมูรธาภิเษาด้วยน้ำหอม นิมนต์พระสงฆ์ผู้ร่วมพิธีทุกรูป สวดไชย์น้อย ไชยใหญ่ (ทุกวันนี้สวดชยันโต) ขณะนั้นย่ำฆ้อง กลอง เสพพิณพาทย์ มโหรี จุดพลุ ตะไล และระหว่างนั้นญาติโยมชายหญิงทั้งหมดที่ไปร่วมพิธี หลั่งน้ำหอมฮดสรงลงที่ฮางฮดน้ำหอมก็จะไหลลงถูกพระภิกษุสามเณรที่นั่งอยู่ตรงรูฮางฮดนั้น เสร็จแล้วผู้รับฮดสรงยืนขึ้น ทายกนำไตรจีวรให้ครอง ครองเสร็จให้ยืนเรียงแถวประนมมือตั้ง นโม 3 จบ แล้วว่าคาถา "สีหนาทํ ทนทนเต เต ปริสาสุ วิสารทา" จบ กำกำปั้นตีฆ้องชัย "โม่ง" ทุกคนในที่นั้นส่งเสียงว่าสำเร็จ, ซา, คู ให้ว่าดัง ๆ ผู้รับฮดสรงว่า สีหนาทํ ฯ ไปอีก ผู้อยู่นั้นส่งเสียงเช่นเดิมอีกถึง 3 ครั้ง แล้วให้รูปต่อไปว่าอย่างเดียวกัน คือรูปใดได้ฮดสรงเป็นสำเร็จ ก็ให้พร้อมกันว่า สำเร็จ 3 ครั้ง ถ้ารูปใดได้ฮดเป็น ซา ก็ ว่าซา พร้อมกัน 3 ครั้ง รูปใดที่ได้ฮดเป็นคูก็ให้ว่าคู พร้อมกัน 3 ครั้ง ทำเช่นเดียวกัน
7. พระสังฆเถระมอบตาลปัตร ไม้เท้าเหล็ก จูงทุกรูปที่ได้รับการฮดสรงขึ้นบนศาลาโรงธรรมโดยญาติโยมผู้ชายนอนคว่ำ (นอนเหมบ)อีกให้ไต่เหมือนกับตอนที่จะไปรับการฮดสรง พระภิกษุสามเณรผู้รับการฮดสรงขึ้นไปนั่งบนอาสนะ ณ ศาลาโรงธรรม
8. ญาติโยมพร้อมกันขึ้นบนศาลาโรงธรรม จุดธูปเทียนไหว้พระรับศีล โดยพระภิกษุสามเณรได้รับฮดสรงนั้นพร้อมกันตั้งตาลปัตรให้ศีลพร้อมกัน
9. ผู้เฒ่าจุดเทียนเล็กคู่หนี่งพร้อมดอกไม้ถวายผู้ได้รับการฮดสรงถือไว้ประธานฝ่ายฆราวาสอ่านประกาศในใบลาน อ่านประกาศของรูปใดจบ ให้ตีฆ้อง 3 ครั้ง เสร็จแล้ว มอบถวายกล่องหลาบ พระสงฆ์สวดชยันโตไปจนเสร็จพิธีมอบถวายกล่องหลาบ
จ. ตั้งขันบายศรี เมื่อมอบถวายหลาบยศแล้ว พราหมณ์ 4 คน ซึ่งนุ่งขาวห่มขาว ยืนรักษาพิธีเถราภิเษกฮดสรงนั้น
เอาบายศรีมาตั้งลงข้างซ้ายขวาผู้รับการฮดสรง หรือถ้ามีหลายรูปก็นิมนต์ให้ผู้รับการฮดสรงนั่งล้อมขันบายศรี ผู้เฒ่าจัดการจุดเทียนอาดหรือเทียนชัย ที่ปักอยู่บนบายศรีซ้ายขวา ผู้รับหน้าที่เป็นพราหมณ์ทำพิธีเบิกบายศรี มงคล ปาวเทวดา ดังนี้ "อายนตุ โภนุโต ดูราเทพดาเจ้าถ้วนทุกหมู่ ที่สถิตอยู่ในท้องจักรวาล เนาในสถานทุกเพศ น่านน้ำเขตไพรพนอม ทั่วทั้งจอมดอยดอนดงห้วยหาด ทั่วทั้งอากาศเวหน ภายค่วงบนฝูงมวลแมนทุกส่ำ ถ้วนหน้าส่ำอินทร์พรหมทั้งพระยมตนองอาจทั้งท้าวราชจตุโลกบาล ผู้บริบาลทวยโลก ให้หายโศกอยู่สวัสดี ทั้งนางธรณี อิสูรครุฑนาค ทุกภาคน้ำนางน้อยเมขลา ทั้งมเหศักดามวลหมู่ ขอเชิญมาสู่เขตตั้งพิธีอันฝูงข้าดาดีตกแต่งไว้ ขอเชิญเทพไท้สรวงสวรรค์ จงเสด็จเฮ็วพลันห่อนให้ช้า ฮิ่บอ่วยหน้าเสด็จด่วนลงมา เที่ยวเทอญ"
ฉ. สูตรขวัญบายศรี ตั้งนโม 3 จบ แล้วว่าคำสูตรขวัญบายศรี ดังนี้
" ศรี ศรี สิทธิพระพร บวรดิเรก อเนกเตโช ชัยมงคลมหาสิริมังคเลส ศาตเพทพร้อมอาคม ขุนบรมปุนแปงไว้ ให้ลูกแก้วออกกินเมือง ฤทธิเฮืองทะรงแท่น มื่อนี้แม่นมื้อมหาคุณ ขุนแคนดาแต่งแล้ว ให้ลูกแก้วกิ่งลงมา เป็นราชาครองสืบสร้าง เมืองมิ่งกว้างนาคอง วันนี้ปองเป็นโชคไตรโลกย่อมลือชา ทะรงอิทธานุภาพยิ่งเจ้าจอมมิ่งเมืองแมน ทะรงแท่นแถนถัดล้ำ มื้อนี้ซ้ำคุณคง พระยาจัดทะรงทศราช พรหมนาถเล่าแถมพรพระอิศวรหลอนแถมโชค พระนารายณ์โยคสิทธิชัย ท้าวสหัสนัย์ประสาทฝนห่าแก้ว ใจผ่องแผ้วบริสุทธิ์ อุตตมะโชค อุตตมะโยค อุตตมะดีถี อัตตมะนาที อุตตมะศรีพิลาส อินทะพาดพร้อมไตรยางค์ ทั่วนาวางค์คาดคู่ พร้อมกันอยู่สอนลอน อาทิตย์จรจันทะฤกษ์ อังคารถือมหาชัย พุธพฤหัสไปเป็นโชค ศุกร์เสาร์โยคเดชมงคล อันเป็นผลหลายประโยค อุตตมะโชคแท้ดีหลี มเหสักขีหลิงหล่ำโลก ให้หายทุกโศกนานา พระอภัยราชาขึ้นทะรงแท่น หายโพยแม่นวันดีกัณหาชาลีเมืองฮอดเมืองบู่ สถิตอยู่เย็นใจ ท้ายพญาศรีสญไชย์ภูวนา นิมนต์ราชปุตตา ให้เป็นพระราชาคืนดังเก่าเป็นเล่าสองทีก็เป็นมื้อนี้วันนี้ วันนี้เป็นดิถีทั้งห้า เจ้าฟ้าเล่าแถมคุณ พราหมณปุนปองราชพรแก้วอาจสิบประการวรสารตัวองอาจ ชี้สู่ราชเล็งโญ วันนี้ โพธิญาณตนหน่อฟ้า มีเดชกล้าสวยเมือง พระบุญเฮืองครองเมืองตุ้มไพร่ทศราชไต่ตามธรรม จำนำสัตว์ให้พ้น วันนี้ดีลื่นล้นเหลือประมาณ หนุมานใจผ่องแผ้ว นีรมิตผาสาทแก้วก่อแปงเมือง นาคองเฮืองทศราช เชียงเครืออาจขุนเม็ง เงินยวงเซ้งเนาคับคั่งสะพรั่งพร้อมฝูงหมู่เสนาเดาดามาเป็นบริวารแวดล้อม มาอยู่อ้อมทุกหมู่โยธา ทั้งนาคานาดีครุฑนาค ทุกภาคพร้อมธรณี เมขลาศรีสาวถ่าวเชื้อท่านท้าวปรเมศวร บรบวนฤทธีกล้า เอาแผ่นผ้าขี่ตางยาน กุมภัณฑ์ดาลยมราช จตุโลกอาจองค์หลวงทั้งค่วงบนบุรมเจ้าฟ้าเดชะกล้ากว่าสิ่งทั้งหลาย จึงยายยังพระพรและควงจุ้มให้ลงมาคุ้มฝูงคน ให้หายกังวลและเดือดฮ้อน โพยพยาธิ์ค่อนพ่ายหนีไปทั้งภายในและภายนอก แดดด้าวขอกคีรี พระฤษีสิทธิเดช จบเทพพร้อมอาคมนิยมประสิทธิ์ประสาทพรแก้วอาจดวงดี มื้อนี้แม่มื้อสวรรค์ วันนี้แม่นวันชอบ ทั้งประกอบด้วยฤกษ์งามยามดี เป็นศรีสิทธิชัยมัคลาดิเรกอเนกสวัสดี แท้ดีหลีแลนาย บัดนี้ ฝูงข้าน้อย ใจชื่อช้อยินสะออน ขอโอมอ่านอวยพรแก่……………..ผู้ทะรงคุณคามมากข้าน้อยหากขอวอน คุณอนุสรณ์สามสิ่ง คือ รัตนตรัยแก้วกิ่งดวงดี กับทั้งคุณประเสริฐศรีทุกแห่ง จบแหล่งหล้าสรวงสวรรค์มาเสกสรรเป็นพระพร คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ อโรคยะปฏิภาณะ อธิปติ คุณสารสมบัติทุเยื่อง ขอให้เดชานุภาพกระเดื่องทั่วธรณี ดังแสงสุรีย์สว่างโลก หายทุกข์โศกสวัสดี เชยยตุ ภวํ เชยย มงคลํ จงให้เป็นชัยมงคลอันแวนยิ่งถ้วนทุกสิ่งสมบูรณ์ นั้นเทอญ (ตีฆ้อง 3 ที โห่ร้องเอาชัย)
ข. เฮียกขวัญผูกแขน เมื่อพราหมณ์กล่าวคำสูตรขวัญเสด็จ จะมีพิธีเฮียก (เรียก) ขวัญผูกแขนสำหรับเฮียกขวัญผูกแขนนั้น มีปรากฎอยู่
ในหนังสือประเพณีการบายศรีสู่ขวัญทั่วไปแล้ว จึงมิได้นำมารวบรวมไว้ในนี้ท่านผู้สนใจอาจศึกษาและท่องจำจากหนังสือดังกล่าว พิธีเฮียกขวัญผูกแขน พระสงฆ์ตั้งตาลปัตรสวดชยันโต 3 จบ พร้อมกับผูกแขนร่วมด้วยพราหมณ์และญาติโยม เสด็จพิธีแล้ว นิมนต์พระภิกษุสามเณรผู้ได้รับการฮดสรง เข้านั่งอาสนะบนอาสน์สงฆ์ ญาติโยมประเคนบริขารเครื่องยศเฉพาะส่วนที่ยังมิได้ประเคน กองของรูปใดก็ประเคนรูปนั้น จากนี้ญาติโยมอาจจะถวายปัจจัยไทยทานแต่พระภิกษุสามเณรซึ่งมาร่วมพิธีเป็นพิเศษอีกก็แล้วแต่จะเห็นสมควรเมื่อประเคนแล้ว พระภิกษุสามเณรผู้ได้รับเถราภิเษกและผู้ร่วมพิธีตั้งตาลปัตร อนุโมทนา ยถาสพพี จบ ว่า สพพุทธานุภาเวนะจนจบ ต่อภวตุ สพพมงคลํ ฯ จบ แล้วเป็นเสร็จพิธี เมื่อเสร็จพิธีสู่ขวัญนาค บวชนาคและฮดสรงหรือเถราภิเษก (ถ้ามี แล้วจะมีการแห่บั้งไฟออกนอกวัดไปแสดงคารวะมเหศักดิ์หลักเมืองและผีปู่ตาหรือผีเจ้าบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองหรือหมู่บ้าน แล้วแห่ไปตามละแวกบ้าน การแห่บั้งไฟจะมีการเซิ้งและฟ้อนรำพร้อมดนตรีพื้นเมืองชนิดต่าง ๆ เช่น กลอง ฆ้อง แคน พิณ ฯลฯ สำหรับขบวนเซิ้งและคำเซิ้งในประเพณีบุญบั้งไฟ อาจแบ่งออกได้เป็นสามพวก คือ พวกที่มีความรู้และเป็นสำคัญ คำเซิ้งจึงไม่พิถีพิถันนักอาจเป็นคำขอและอื่น ๆ ก็ไพเราะ อีกพวกหนึ่งมักคือพวกที่มีความรู้และคุณธรรมคำขอเหล้ากินบ้าน และขบวนแห่ก็มักจะจัดตามชอบส่วนอีกพวกหนึ่งมักค่อนข้างไปในทางตลกโปกฮา และบางทีคำพูดและกิริยาท่าทางที่แสดงอาจหยาบคายคือ คำเซิ้ง บางที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะเพศและคำหยาบปะปนอยู่บ้าง นอกนี้ในขบวนแห่บางทีนำวัตถุบางอย่าง เช่น ไม้ เป็นต้น มาทำรูปอวัยวะเพศของชายหญิงมาประดับตามร่างกาย หรือถือแห่ร่วมขบวนไปด้วย และบางทีทำรูปชายหญิงร่วมเมกุนกับบนบั้งไฟขณะที่หามไปก็มี นอกนี้บางคนก็อาจมีการแสดงท่าทางหยาบโลนบ้าง แต่การทำเช่นนี้ ส่วนใหญ่ไม่มีใครถือสาหาความ ถือเป็นเรื่องขบขันและสนุกสนานมากกว่า เพราะเคยทำมานานคล้ายเป็นประเพณี ในขณะแห่บางคนเอาวัตถุบางอย่างมาทำเป็นหน้ากาก ซึ่งรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวแบบหัวโขนมาปิดหน้าตนและยังมีการเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ บ้างก็แต่งแฟนซีเซิ้งและฟ้อนกันไปเป็นกลุ่ม ๆ บางกลุ่มเล่นพื้นเมืองทำท่าทางตลก เช่น ทอดแห ขายยาและอ่านหนังสือผูกคลอด้วยเสียงแคน บางคนก็รำไปพร้อมกับเสียงแคน ฯลฯ
สำหรับคำเซิ้งบั้งไฟขอยกตัวอย่างมาให้ดูดังต่อไปนี้
" โอเฮาโอ พวกฟ้อนเฮาโอ บั้งไฟหมื่นของพญาแถน ขึ้นไปเทิงเมืองแมนเถิงที่ชั้นฟ้า สุดแหล่งหล้าเหลียวบ่มีเห็น ข้ามตาเวนอุดรเป็นเขต ข้ามประเทศเมืองใหญ่หนองหาน ข้ามภูพานไปแล้วคุณพ่อ ขึ้นก่อด่อสามมื้อบ่ลง ตำข้าวถงไปนำเอาโลด ช่างแม่นขึ้นโพดเอาโลดเอาเหลือจนมีเสือหมูหมาช้างย้าน จนว่าฮ้านซิโปดซิเพ คักแท้เดบั้งไฟบักส่า ขึ้นจนว่าฝ้าแตกเป็นฝอย แหงนตาลอยจนว่าตาค้าง พออยากจ้างไผส่องนำเห็นบั้งไฟขึ้นแล้วซิหาทางเซิ้งต่อ มาพ้อบ่อนนี่เฮาอยากได้หญัง ใจเฮาหวังหล้าเด็ดหรือว่าเหล้าโท อยากขอเหล้าเด็ดนำเจ้าจักโอ ขอเหล้าโทนำเจ้าจักถ้วย หวานจ้วยจ้วยต้วยปากหลานชาย ตักมายายหลานชายให้มันคู่ดันบ่คู่โตข้อยบ่หนีตายเป็นผีซินำมาหลอก ออกจากบ้านซิหว่านดินนำ ตายเป็นปลวกมากัดเครือพลู ตายเป็นหนูมากัดเครือหูกต่ายเป็นลูกน้อยไห่จ่องกินนม เอาเถาะฟ้าวเอาเถาะ คันบ่ให้ทัวขั้นไดซิลงท่ง ลุงทานแล้วหลานแก้วซิให้พร ลุงทานแล้วให้แข้วเจ้าดำ ลุงทานแล้วให้ถงคำลุงตง ให้ท้องลุงพ่งคือดั่งไหได ลุงเฮ็ดไฮ่ให้ได้ข้าวฮวงหนา ลุงเฮ็ดนาให้ได้ข้าวฮวงใหญ่ ให้ลูกใภ้หลานน้อยได้ชื่นชม เลี้ยงควายด่อนให้เป็นโตเขาดำ เลี้ยวควายดำให้เป็นโตเข้าแถ้วเลี้ยงแผ่แล้วไว้คราดไฮ่ไถนา มาเฮามาพวกเซิ้งเฮามา ฯลฯ" ส่วนการเล่นอย่างอื่น ๆ ซึ่งแล้วแต่ใครจะคิดขึ้น เพื่อความสนุกสนานคงดำเนินต่อไปเป็นกลุ่ม ๆ หรือคนเดียวตามอัธยาศัยจนตลอดวันและตลอดคืน ในระหว่างงานนี้หนุ่ม ๆ จะถือโอกาสคุยกับสาว ๆ ที่ตนชอบตามเพิงปะรำหรือผามทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยพอถึงกลางคืน นอกจากจะมีการคบงันด้วยการละเล่นต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน บางแห่งมีการเส็งกลอง การแข่งขันตีกลอง กลองที่เอามาตีแข่งขันกันเรียกว่า "กลองเส็ง" ผู้มาแข่งขันอาจเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันหรือต่าง ๆ หมู่บ้านนำกลองมาแข่งก็ได้การตัดสินแข่งตีกลอง ตัดสินที่ลีลา จังหวะการตี และเสียงดัง การคบงันปรกติมีการเล่นและร้องรำต่าง ๆ จะสว่างดังกล่าวแล้ว พอรุ่งเช้าถวายจังหันเสร็จแล้ว นำบั้งไฟไปจุดที่นั่งร้านบนต้นไม้ ซึ่งยกขึ้นสำหรับจุดบั้งไฟโดยเฉพาะบางแห่งมีการจุดบั้งไฟในตอนบ่ายก่อนนำบั้งไฟไปจุดจะมีการแห่บั้งไฟพร้อมกับมีการเล่นต่างๆ อีกครั้งหนึ่งและมีการประกวดดังกล่าวแล้วข้างต้น การจุดบั้งไฟส่วนมากต้องนำไปจุดกลางทุ่ง ห่างไกลจากชุมชนหรือหมู่บ้านเพื่อป้องกันอันตรายจากบั้งไฟ ระหว่างการแห่และจุดบั้งไฟ ประชาชนจะไปดูกันอย่างคับคั่ง เมื่อจุดบั้งไฟแล้ว หากบั้งไฟใครขึ้นสูง ญาติมิตรจะพากันขามช่างบั้งไฟไปสรงน้ำหรือไปปรับกินเหล้า และถ้าหากบั้งไฟไม่ขึ้นก็จะหามช้างไปโยนลงน้ำหรือโคลนตมเมื่อจุดบั้งไฟเสร็จแล้วมีการตามรอยไฟ คือ ฟ้อนรำไปเยี่ยมตามบ้านต่าง ๆ เพื่อขอสุราอาหารกินกัน การทำบุญชนิดนี้ นอกจากจะเป็นพิธีขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลแล้ว ยังทำให้ผู้ที่มาร่วมงานกันทำบุญเกิดความรักใคร่สามัคคีกัน เพราะชาวบ้านได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนคบค้าสมาคมกันและเป็นการพักผ่อนสนุกสนานเพลิดเพลิน ก่อนจะได้ลงมือทำนาทำไร่ซึ่งเป็นงานหนักด้วย เมื่อเล่นสนุกสนานกันพอสมควรจนถึงค่ำแล้ว จึงแยกย้ายกันกลับบ้าน เป็นเสร็จพิธีบุญบั้งไฟ นอกจากการทำบุญบั้งไฟ ยังมีการทำบุญวิสาขบูชา คือ วันเพ็ญเดือนหก ได้แก่การถวายภัตตาหารบิณฑบาตร ฟังเทศน์ในตอนเช้า และเวียนเทียนในตอนค่ำ นอกนี้ในเดือนหกนี้บางแห่งคงมีการสรงน้ำพระพุทธรูปซึ่งเป็นการสรงต่อเนื่องมาจากพิธีตรุษสงกรานต์ ดังได้กล่าวแล้วในเรื่องบุญสงกรานต์

5.เดือนห้า บุญสงกรานต์

บุญสงกรานต์หรือตรุษสงกรานต์ของภาคอีสานกำหนดทำกันในเดือนห้า ปรกติมี 3 วัน โดยเริ่มแต่วันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15 เมษายนเหมือนกับภาคกลาง วันที่ 13 เมษายน เป็นวันต้น คือ วันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน คือวันกลางเป็นวันเนา และวันที่ 15 เมษายน คือวันสุดท้าย เป็นวันเถลิงศก ชาวอีสานถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ พิธีสงกรานต์ในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ อาจมีพิธีทำแตกต่างกันไปในข้อปลีกย่อยแต่ที่ทำเหมือนกัน คือ การสรงน้ำพระพุทธรูป ที่สำหรับสรงน้ำในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ อาจมีพิธีทำแตกต่างกันไปในข้อปลีกย่อยแต่ที่ทำเหมือนกัน คือ การสรงน้ำพระพุทธรูป ที่สำหรับสรงน้ำพระพุทธรูปมักเป็นที่ใดที่หนึ่ง ที่เห็นว่าเหมาะสม ซึ่งตามปรกติมักใช้ศาลาการเปรียญ แต่บางวัดก็จัดสร้างหอสรงขึ้นแล้วอันเชิญพระพุทธรูปในประดิษฐานไว้ เพื่อทำการสรงในวันสงกรานต์ และในวันถัดจากวันสงกรานต์อีกด้วย
มูลเหตุที่มีการทำบุญสงกรานต์ มีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีผู้หนึ่งอยู่กินกับภรรยามานานแต่ไม่มีบุตรเศรษฐีผู้นั้นบ้านอยู่ใกล้กับบ้านนักเลงสุรา นักเลงสุรามีบุตรสองคน ผิวเนื้อเหมือนทอง วันหนึ่งนักเลงสุราไปกล่าวคำหยาบช้าต่อเศรษฐี เศรษฐีจึงถามว่าเหตุใดจึงมาหมิ่นประมาทตนผู้มีสมบัติมาก นักเลงสุราจึงตอบว่าถึงท่านมีสมบัติมากก็ไม่มีบุตร ตายแล้วสมบัติจะสูญเปล่า เรามีบุตรเห็นว่าประเสริฐกว่าท่าน เศรษฐีได้ยินดังนั้น มีความละอายจึงทำการบวงสรวง ตั้งอธิษฐานขอบุตรต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ถึงสามปี แต่ไม่เป็นผลจึงไปขอบุตรต่อต้นไทร เทวดาซึ่งสิงสถิตย์อยู่ที่ต้นไทรสงสารได้ไปอ้อนวอนขอบุตรต่อพระอินทร์ให้เศรษฐี พระอินทร์จึงโปรดให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อประสูตแล้วเศรษฐีให้ชื่อว่า ธรรมบาล ตามนามของเทวบุตร และปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ที่ใต้ต้นไทรนั้น ธรรมบาลเป็นเด็กฉลาด โตขึ้นอายุเพียง ๆ ขวบก็สามารถเรียนจบรู้ภาษานกและมีความเฉลียวฉลาดมาก ต่อมากบิลพรหมจากพรหมโลกได้ลงมาถามปัญหาสามข้อกับธรรมบาล ปัญหามีว่า คนเราในวันหนึ่ง ๆ เวลาเช้าศรีอยู่ที่ไหนเวลาเทียงศรีอยู่ที่ไหนและเวลาเย็นศรีอยู่ที่ไหนโดยสัญญาว่า ถ้าธรรมบาลแก้ได้กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา แต่ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้จะต้องตัดศีรษะธรรมบาลเสีย โดยผัดให้เจ็ดวันคราวแรกธรรมบาลนึกตอบปัญหานี้ไม่ได้ พอถึงวันถ้วนหกพอดีไปแอบได้ยินนกอินรีผู้ผัวพูดคำตอบให้นกอินทรีผู้เป็นเมียฟังบนต้นตาล ธรรมบาลถึงสามารถแก้ปัญหาได้ คำตอบคือเวลาเช้าศรีอยู่ที่หน้าคนถึงเอาน้ำล้างในตอนเช้า เวลากลางวันศรีอยู่ที่อกคนถึงเอาเครื่องหอมประพรมที่หน้าอกในเวลากลางวันและเวลาเย็นศรีอยู่ที่เท้า คนจึงเอาน้ำล้างเท้าในเวลาเย็น เมื่อถึงวันถ้วนเจ็ดท้าวกบิลพรหมได้มาทวงถามปัญหาธรรบาล เมื่อธรรมบาลตอบได้ (ตามที่ยินนกพูดกัน) กบิลพรหมจึงตัดศีรษะของตนบูชาธรรมบาลตามสัญญาแต่เนื่องจากศีรษะของกบิลพรหมศักดิ์สิทธิ์ ถ้าตกลงแผ่นดินจะเกิดไฟไหม้ ถ้าทิ้งไปในอากาศจะทำให้เกิดฝนแล้งและถ้าทิ้งลงในมหาสมุทรน้ำจะแห้ง ดังนั้นเมื่อกบิลพรหมจะตัดศีรษะของตน ถึงได้ให้ธิดาทั้งเจ็ดเอาพานมารองรับศีรษะของตนไว้ โดยตัดศีรษะส่งให้นางทุงษผู้ธิดาคนใหญ่ แล้วธิดาทั้งเจ็ดจึงแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นเวลา 60 นาที จึงนำไปประดิษฐานไว้ที่มณฑปในถ้ำคันธุลีเขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการ ให้เป็นที่ประชุมเทวดาพอครบหนึ่งปีธีดาทั้งเจ็ดจะผลัดเปลี่ยนกันมาอัญเชิญเอาศีรษะของกบิลพรหมแห่พระทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ (ธิดาทั้งเจ็ดของกบิลพรหมมีชื่อดังนี้ คือ ทุงษ โคราด รากษส มัณฑา กิรินี กิมิทาและมโหทร) พิธีแห่เศียรของกบิลพรหมนี้ทำให้เกิดพิธีตรุษสงกรานต์ขึ้นทุก ๆ ปี และถือเป็นประเพณีขึ้นปีใหม่ของชาวไทยโบราณต่อๆ กันมาด้วย
นางสงกรานต์ ได้แก่ ผู้ทำหน้าที่อันเชิญเอาศีรษะของท้าวกบิลพรหมมาแห่ในวันสงกรานต์ เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ขึ้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำที่สุด มีด้วยกัน 7 คน เป็นพี่น้องกันทั้งหมด และเป็นธิดาของท้าวกบิพรหมหรือมหาสงกรานต์ดังกล่าวข้างต้น การที่ธิดาคนใดจะเป็นนางสงกรานต์ เช่น พ.ศ. 2527 วันที่ 13 เมษายนตรงกับวันศุกร์ นางสงกรานต์จึงมีนามว่า กิมิทา เป็นต้น นางทั้ง 7 มีชื่อ วัน ดอกไม้ เครื่องประดับ อาหาร อาวุธ และสัตว์เป็นพาหนะ ดังนี้
1. ทุงษ วัน อาทิตย์ดอกไม้ ดอกทับทิมเครื่องประดับ ปัทมราดอาหาร อุทุมพรอาวุธ จักร - สังข์พาหนะ ครุฑ
2. โคราด วัน จันทร์ดอกไม้ ดอกปีบเครื่องประดับ มุกดาหารอาหาร น้ำมันอาวุธ พระขรรค์ - ไม้เท้าพาหนะ พยัคฆ์ (เสือโคร่ง)
3. รากษส วัน อังคารดอกไม้ ดอกบัวหลวงเครื่องประดับ โมราอาหาร โลหิตอาวุธ ตรีศูล - ธนูพาหนะ วราหะ (หมู)
4. มัณฑา วัน พุธดอกไม้ ดอกจำปาเครื่องประดับ ไพฑูรย์อาหาร นมเนยอาวุธ ไม้เท้า - เหล็กแหลมพาหนะ คัสพะ (ลา)
5. กิรินี วัน พฤหัสบดีดอกไม้ ดอกมณฑาเครื่องประดับ มรกตอาหาร ถั่วงาอาวุธ ขอ -ปืนพาหนะ กุญชร (ช้าง)
6. กิมิทา วัน ศุกร์ดอกไม้ ดอกจงกลณีเครื่องประดับ บุษราคัมอาหาร กล้วยน้ำอาวุธ พระขรรค์ - พิณพาหนะ มหิงสา (ควาย)
7. มโหทร วัน ศุกร์ดอกไม้ ดอกสามหาวเครื่องประดับ นิลรัตน์อาหาร เนื้อทรายอาวุธ จักร - ตรีศูลพาหนะ นกยูง

วิธีหาวันอธิบดี วันธงชัย วันอุบาทว์ วันโลกาวินาศ ครั้งแรกหาวันอธิบดีก่อน จึงหาวันอื่น ๆ โดยมีวิธีต่อไปนี้
วันอธิบดี ให้ตั้งพุทธศักราชลง แล้วหารด้วย 7 เหลือเศษเท่าไร เศษนั้นเป็นวันอธิบดี เช่น เศษ 1 เป็นวันอาทิตย์ เศษ 2 เป็นวันจันทร์ เศษ 3 เป็นวันอังคาร เศษ 4 เป็นวันพุธ เศษ 5 เป็นวันพฤหัสบดี เศษ 6 เป็นวันศุกร์ ถ้าหารลงตัวไม่มีเศษ เป็นวันเสาร์ เช่น พ.ศ. 2527 เมื่อเอา 7 หาร ลงตัวพอดีไม่มีเศษวันอธิบดีก็เป็นวันเสาร์
วันธงชัย ให้ตั้งเลขวันอธิบดีของปีนั้น ๆ ลงเอา 3 คูณ 2 บวก แล้วหารด้วย 7 เหลือเศษเท่าไร เศษนั้นเป็นวันธงชัย เช่น พ.ศ. 2527 วันจันทร์เป็นวันธงชัย
วันอุบาทว์ ให้ตั้งเลขวันอธิบดีของปีนั้น ๆ ลงเอา 3 คูณ 1 บวก แล้วหารด้วย 7 เหลือเศษเท่าไรเศษนั้นเป็นอุบาทว์ เช่น พ.ศ. 2527 วันอาทิตย์เป็นวันอุบาทว์
วันโลกาวินาศ ให้ตั้งเลขวันอธิบดีของปีนั้น ๆ ลงเอา 2 บวก แล้วหารด้วย 7 เหลือเศษเท่าไรเศษนั้นเป็นวันโลกาวินาศ เช่น พ.ศ. 2527 วันจันทร์เป็นวันโลกาวินาศ
การหาวันอธิบดี วันธงชัย วันอุบาทว์ และวันโลกาวินาศ เป็นอคติถือว่า โดยคนไทยเรานั้นฝังหัวหรือเชื่อถือกันมาแต่โบราณว่า ถ้าจะทำการมงคลใด ๆ ก็นิยมกระทำในวันอธิบดี และวันธงชัย เว้นวันอุบาทว์และโลกาวินาศ ถึงแม้พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า "ประโยชน์เป็นตัวฤกษ์ของเขลา ผู้ถือฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์เป็นตัวฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวทั้งหลายจักทำอะไรได้" แต่เราก็ยังอดถือฤกษ์ถือยามไม่ได้ พระท่านจึงสอนว่ายึดอะไรก็ยึดได้ แต่อย่ายึดให้มั่น ถืออะไรก็ถือได้ แต่อย่าถือให้มั่นเกินไป" เพราะการยึดมั่นถือมั่นเกินไปแล้วหนักวางยากปลงยาก อาจทำให้ไม่สบายใจ
จำนวนนาคให้น้ำ ถ้าต้องการทราบจำนวนขนาดให้น้ำในปีใด เมื่อคิดวันอธิบดีได้แล้ว ก็เอาวันอธิบดีตั้งคูณด้วย 5 บวกด้วย 3 และหารด้วย 7 เหลือเศษเท่าใด ก็เป็นจำนวนนาคให้น้ำเท่านั้นตัว เช่น พ.ศ. 2527 จำนวนนาคให้น้ำ 3 ตัว เป็นต้น
จำนวนฝนตก เกณฑ์น้ำฝนที่ว่าตกเท่านั้นเท่านี้ห่า คือ ตกในเขาจักรวาลเท่านั้นห่า ในป่าหิมพานต์เท่านั้นห่า ในสมุทรเท่านั้นห่า และในมนุษย์โลกเท่านั้นห่า มีกำหนดไว้ดังนี้ คือ ถ้าวันอธิบดีฝนเป็นวันอังคารฝนตกทั้งหมด 300 ห่า ถ้าเป็นวันอาทิตย์หรือวันเสาร์ตก 400 เท่า ถ้าเป็นวันจันทร์หรือวันพฤหัสบดี ตก 500 ห่าถ้าเป็นวันพุธหรือวันศุกร์ ตก 600 ห่า ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดถ้าอยากทราบว่าจำนวนน้ำฝนตกที่ใดเท่าใด ก็แบ่งจำนวนน้ำฝนที่ตกทั้งสิ้นออกเป็น 10 ส่วน จะเป็นตกในมนุษยโลก 1 ส่วน ตกในมหาสมุทร 2 ส่วน ตกในป่าหิมพานต์ 3 ส่วน และตกในเขาจักรวาล 4 ส่วน ตามลำดับเช่น จำนวนน้ำฝนรวมเป็น 400 เท่า ก็เป็นจำนวนตกในมนุษยโลก 40 ห่า ตกในสมุทร 80 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 120 ห่า และตกในเขาจักรวาล 160 ห่า

เกณฑ์ธัญญาหาร มี 4 อย่าง เรียงตามลำดับเศษที่คำนวณได้ คือ
เศษ 1 ชื่อ ถาภะ ได้ 10
เสีย 1
เศษ 2 ชื่อ วิบัติ ได้ กึ่ง เสีย กึ่ง
เศษ 3 ชื่อ ปัจฉิม ได้ 1 เสีย 5
ศษ 4 ชื่อ ปัจฉิม ได้ 1 เสีย 5
เศษ 5 ชื่อ วิบัติ ได้ กึ่ง เสีย กึ่ง
เศษ 6 ชื่อ ลาภะ ได้ 10 เสีย 1
เศษ 7 ชื่อ ปาปะ ได้ 1 เสีย 10
เกณฑ์ธาราธิคุณ มี 4 ราศี ซึ่งหมายถึงกองธาตุทั้งสี่ ถ้าตก
ราศีเตโช (ธาตุไฟ) น้ำน้อย
ราศีวาโย (ธาตุลม) น้ำน้อย
ราศีปถวี (ธาตุดิน) น้ำงามพอดี
ราศีอาโป (ธาตุน้ำ) น้ำมาก
เหตุใดในปฎิทินบัตรแต่ก่อน จึงไม่บอกวันเดือนปีทางสุริยคติเหมือนอย่างปฏิทินสมัยใหม่ แต่ว่าบอกวันทางจันทรคติเป็นข้างขึ้นข้างแรม และบอกเป็นชื่อตาม 12 นักษัตร คือ ชวด ฉลู ขาล เถาะ เป็นต้น ก็เพราะการนับวันทางสุริยคติ ดูเหมือนจะมีใช้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2432 นี้เอง ก่อนนั้นขึ้นไปเขาใช้นับกันทางจันทรคติ ซึ่งราษฎรถึงจะไม่มีปฏิทินดู ก็ใช้ดูจากดวงจันทร์เป็นเดือนเกิดเดือนดับ หรือข้างขึ้นข้างแรมพอสังเกตดูได้เป็นประมาณนอกนี้ทางพุทธศาสนิกชนก็ยังถือวันทางจันทรคติอยู่ด้วย การนับวันทางจันทรคติจึงมีความจำเป็นแก่ประชาชนทั่วไปเพราะเกี่ยวกับการทำทำไร่ไถนาตามฤดูกาลและการทำบุญของเขา ที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำบุญตรุษสงกรานต์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

วิธีดำเนินการ ในวันที่ 13 เมษายน ในตอนเช้าหรือก่อนเที่ยง ทางวัดจะจัดเตรียมทำความสะอาดพระพุทธรูปและจัดพระพุทธรูปไว้ ณ ที่จะทำการสรง ซึ่งตามปรกติมักจัดไว้ที่แท่นหรือโต๊ะบนศาลาการเปรียญหรือหอสรงก็ได้ เมื่อเวลาบ่ายประมาณสองโมงทางวัดจะตีกลองเพื่อนัดชาวบ้าน พอชาวบ้านได้ยินเสียงกลองจะจัดน้ำอาบน้ำหอมและดอกไม้ธูปเทียนมารวมกันที่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปในวัด บางท้องถิ่นหนุ่ม ๆ สาว ๆ จะชวนกันไปหาดอกไม้ในป่า เพื่อนำมาบูชาพระพุทธรูป เมื่อพร้อมแล้วมีการกล่าวคำบูชาดอกไม้และอธิษฐานขอสรงน้ำแล้วจึงทำการสรงน้ำพระพุทธรูปด้วยน้ำอบน้ำหอม โดยใช้ช่อดอกไม้จุ่มน้ำสลัดใส่องค์พระพุทธรูปเมื่อสรงน้ำพระพุทธรูปเสร็จ ชาวบ้านจะนำน้ำที่ได้จากสรงพระพุทธรูปไปประพรมบนศีรษะของคนและสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ฯลฯ เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข นอกนี้บางวัดยังอัญเชิญพระพุทธรูป 4 องค์ไปไว้ที่หอสรง สำหรับสรงน้ำในวัดถัดไปจากวันตรุษสงกรานต์อีกด้วย ที่หอสรงบางแห่งใช้ไม้แก่นเจาะเป็นราง สลักลวดลายอย่างสวยงามหรือรางไม้ไผ่ที่ทำเป็นร่องยาวพาดออกมาข้างนอก ตรงบนพระพุทธรูปเจาะเป็นรูและต่อท่อเล็ก ๆ ให้น้ำไหลออกมา การสรงน้ำพระพุทธรูปที่หอสรง ถ้ามีรางก็เทน้ำใส่ราง ที่ยื่นออกมาข้างนอก เพื่อให้น้ำไหลรดองค์พระพุทธรูปตรงรูดังกล่าวถ้าไม่มีรางก็ใช้ภาชนะเล็ก ๆ เช่น ขัน เป็นต้น ทำการรดในวันต่อ ๆ มาภายหลังวันตรุษสงกรานต์ เมื่อมีคนไปสงน้ำพระพุทธรูป เด็ก ๆ มักชอบไปอยู่ข้างหอสรง เพื่อจะได้อาบน้ำพระพุทธรูปเป็นที่สนุกสนานทั้งถือว่าทำให้หายโรคภัยไข้เจ็บและอยู่เย็นเป็นสุขด้วย การสรงน้ำพระพุทธรูปที่หอสรงนี้ จะทำทุกวัน จนกว่าจะแห่ดอกไม้เสร็จ ซึ่งอย่างช้าไม่เกินวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 จึงอัญเชิญพระพุทธรูปไป ประดิฐฐานไว้ตามเดิม ในวันตรุษสงกรานเมื่อสรงน้ำพระพุทธรูปเสร็จแล้ว บางแห่งเวลากลางคืนประมาณ 1 ทุ่ม ชาวบ้านจะไปรวมกันที่วัด ทำการคบงันด้วยดนตรี ร้องรำทำเพลงและการละเล่นต่าง ๆ แต่ส่วนมากพากันจับกลุ่มเล่นหันกันตามละแวกหมู่บ้านเป็นแห่ง ๆ โดยมากเป็นพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ การเล่นนอกจากเป่าแคนและร้องรำทำเพลงและมีการเล่นสาดน้ำและการละเล่นอื่น ๆ เช่น เล่นสะบ้า ถึงหนึ่งหรือชักเย่อ ฯลฯ โดยเฉพาะการเล่นสาดน้ำกันไม่ถืออายุ ชั้นวรรณะและเชื่อว่าหากเล่นสาดน้ำกันมากเท่าใด จะเป็นการช่วยดลบันดาลให้ฝนตกมากขึ้นเท่านั้น บางแห่งพวกผู้หญิงจับผู้ชายไปมัด แล้วเอาน้ำมารดจนหนาวสั่น จะหยุดรดและปล่อยตัว จนกว่าผู้ที่ถูกจับมัดยอมเสียค่าไถ่ซึ่งส่วนมากได้แก่ เครื่องดื่มและอาหาร เช่น ขนม เป็นต้น ให้แก่คณะผู้ทำการจับ
นอกจากสรงน้ำพระพุทธรูปแล้ว ในวันตรุษสงกรานต์ยังมีการสรงน้ำพระสงฆ์ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพและขอพรจากพระสงฆ์ให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่บางหมู่บ้านสาว ๆ อาจสาดน้ำพระเณรในวัดด้วย ซึ่งประเพณีดั้งเดิมถือว่าเป็นการสนุกไม่ถือเป็นการบาปแต่อย่างใด หลังจากสรงน้ำพระสงฆ์แล้ว ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่ไปสรงน้ำให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านที่เคารพนับถือตามสมควร เช่น คนที่มีอายุมาก ๆ กำนันผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น
ประเพณีสงกรานต์หรือปีใหม่ของชาวอีสาน มักจะเล่นกันเป็นเวลาหลาย ๆ วัน บางแห่งเล่นกันเป็นเวลา 5-7 วัน และถ้าอากาศร้อน บางทีมีการเล่นสาดน้ำก่อนวันงาน และภายหลังวันงานรวมเป็นเวลาถึง 10 วันก็มี แต่ตามปรกติจะมีการเล่นสนุกสนานกัน 3 วัน คือวันที่ 13-14-15 เมษายน โดยเฉพาะวันที่ 14 เมษายน ซึ่งเป็นวันเนา (บางแห่งเรียกวันเนา แผลงเป็นวันเน่าก็มี) แปลว่า วันหยุด ชาวบ้านจะหยุดงานทุกอย่างและจะเล่นสนุกสนานกันอย่างเต็มที่และในวันเนาจวนรุ่งสว่างราว 4 หรือ 5 นาฬิกา จะมีการยิงปืนและจุดประทัดขับไล่ภูตผีและเสนียดจัญไรต่าง ๆ ด้วย
ส่วนการละเล่นจะมีติดต่อกันไปตลอดวันตลอดคืน จนถึงคืนวันที่ 15 เมษายนและตอนเย็นวันที่ 15 เมษายน บางแห่งชาวบ้านทำธง (ชาวบ้านเรียกว่า ธุง) ด้วยด้ายสีต่าง ๆ ยาวประมาณ 2-3 วา นำไปแขวนที่วัด โดยใช้ลำไม้ไผ่ที่ยอดโก่งเรียวงามเป็นเสาธง การนำธงไปแขวนจะการแห่และตีฆ้องตีกลองด้วย การแขวนธงนี้บางท่านให้ความเห็นว่า นอกจากเป็นการบูชาพระรัตนตรัยแล้วยังเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะแห่งชีวิตของคนเรา คือสามารถมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงปีใหม่อีกครั้งหนึ่งและในคืนวันที่ 15 เมษายนพอจวนสว่าง คือรุ่งขึ้นวันที่ 16 เมษายน บางแห่งมีการแห่ข้าวพันก้อนไปบูชาที่วัดเรื่องบุญแห่ข้าวพันก้อนจะได้กล่าวละเอียดที่หลัง
ในวันที่ 15 เมษายน บางแห่งมีการทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ในตอนเช้า และตอนบ่ายบางแห่งชาวบ้านพากันขนทรายมาก่อเจดีย์ทราย อาจจัดทำที่หาดทรายใกล้แม่น้ำหรือที่ใดที่หนึ่งแล้วแต่จะเห็นว่าเหมาะสม แต่ส่วนมากนิยมจัดทำที่วัด โดยชาวบ้านพากันขนทรายจากท่าน้ำมาก่อเป็นเจดีย์ทรายที่วัดรวมกันเป็นกองใหญ่ การก่อเจดีย์จัดทำโดยเอาทรายผสมน้ำพอซุ่มแล้วนำมารวมก่อเป็นกองใหญ่ ทำเป็นรูปเรียวสูงคล้ายปิรมิด ตกแต่งให้สวยงามดีแล้ว ตรงยอดเจดีย์เอาไม้แก่นแข็งทำเป็นหยักและเสี้ยมปลายแหลมพร้อมทาสีให้สวยงาม มาเสียบไว้พร้อมดอกไม้และเทียน นอกจากนี้บางทียังเอาขันขนาดเล็กใส่ทรายซึ่งผสมน้ำพอหมาดให้เต็มดีแล้วตีคว่ำลงกับพื้นดินรอบเจดีย์ทรายองค์ใหญ่ คนหนึ่งทำจำนวนให้เกินอายุของตนไว้ 1 ขัน ซึ่งมีความหมายขอให้อายุยืนยาวต่อไป เช่น เกี่ยวกับทำกองทรายด้วยนั่นเอง การก่อเจดีย์ทรายหากไม่ทำในวันดังกล่าวอาจทำในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ซึ่งเป็นวันอัญเชิญพระพุทธรูปที่นำมาสรงน้ำที่หอสรงไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม การก่อเจดีย์ทรายเมื่อทำเสร็จพิธีก็มีการทำพิธีบวช โดยนิมนต์พระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป มาทำพิธีสวดพระพุทธมนต์และทำพิธีบวชองค์พระเจดีย์ทราย มีการประน้ำพระพุทธมนต์ที่เจดีย์ทรายด้วย พิธีนี้นิยมทำในตอนบ่าย พอถึงตอนเย็นหรือค่ำมีการฟังพระสวดมนต์ ฟังเทศน์ฉลองพระทรายและทำการคบงัน การก่อเจดีย์ทรายนอกจากได้บุญตามความเชื่อถือแล้ว หากจัดทำในวัด โอกาสต่อมาเมื่อเจดีย์ทรายทลายลง พื้นที่แห่งนั้นจะได้รับการถมให้สูงขึ้นไปในตัวพื้นดินจะหายจากโคลนตมและมองดูสะอาดตาดีด้วย นับเป็นการได้กุศลสองต่อ
ภายหลังวันสงกรานต์แล้ว บางแห่งมีการแห่ดอกไม้ โดยทำเป็นต้นดอกไม้ไปถวายวัด รายละเอียดเรื่องราวการแห่ดอกไม้จะได้กล่าวในโอกาสต่อไป นอกจากพิธีดังกล่าวแล้วบางท้องถิ่นภายหลังงานตรุษสงกรานต์แล้ว จะมีพิธีสู่ขวัญพระพุทธรูปและสู่ขวัญพระภิกษุสามเณรด้วย

คำสู่ขวัญพระพุทธรูปและคำสู่ขวัญพระภิกษุสามเณร มีดังต่อไปนี้
ศรี ศรี ปีเดือนแถมเถิงเขต พระสุริยเยศเข้าสู่ราตรี ผีจักปุนเป็นปีอธิกมาส ฝูงข้าน้อยนาถข้าบาททั้งหลายยกมือใส่หัวเกศเกล้า ไหว้พระรัตนตรัยแล้วเจ้าตนรัศมี เถิงฤดูปีมาไต่เต้า องค์พระแก้วเจ้าจึงเสด็จลีลาลง ทรงตนงามพีพ่าย ๆ ฝูงข้าทั้งหลายบ่มีใจติกหนาด้วยโทษ กริ้วโกรธโกรธาพร้อมกันมาราชาบายศรีแด่พระแก้วเจ้า ทั้งผู้เฒ่าและปานกลาง ทั้งสาวฮามและเด็กน้อย มีใจชื่นช้อยเลื่อมใสดี ฝูงข้าทั้งหลายได้ขัดสีสังเกต ตามประเทศพื้นเมืองคน ฝูงข้าทั้งหลายได้กระทำเพียรสร้างกุศลหลายชาติ จึงได้อุปฐากพระแก้วเจ้าองค์ทรงธรรมผายโผดเมตตาโปรดสัตว์โลกให้พ้นโอฆสงสาร ให้ได้เถิงพระนีรพานอันล้ำยิ่ง ฝูงข้าทั้งหลายถึงพร้อมกันมาตกแต่งแล้วจึงยอถวายแดพระแก้วเจ้า องค์เป็นเค้าเป็นเหง้า แก่ฝูงคนและเทวดาทั้งหลายและทรงฮูปโฉมงามย้อยยั่ง เป็นดั่งน้ำครั่งใส่ไตคำ องค์มีรัศมีงามบ่ฮู้เศร้า ตราบต่อเท่าห้าพันพระวัสสา

อันหนึ่ง ฝูงข้าทั้งหลายก็ยังมีคำมักคำปรารถนาต่าง ๆ กัน บางพ่อปรารถนาเอาซึ่งสมบัติมากสมบัติหลากโลกีย์ เป็นเศรษฐีรตนาถพร้อมเนืองนอง เงินคำกองม้ามิ่ง นับด้วยสิ่งอสงไขย บางพ่องปรารถนาเป็นพญาจักรพรรดิราชา ให้ได้ผาบแพ้ทั้งสีชมพู บางพ่องปรารถนาเป็นพญาอินทราธิราช อันเป็นอาชญ์แก่เทวดาทั้งหลายบางพ่องปรารถนาเป็นพระพรหมตนประเสริฐ อันเป็นบังเกิดยังญาณ บางพ่อปรารถนาเป็นทายกทายิกาอุบาสกอุบาสิกาของพระศรีอารย์ตนองอาจ เป็นดั่งนางนาถไท้วิสาขา บางพ่องปรารถนาเป็นสัพพัญญตญาณอันล้ำเลิศประเสริญกว่าคน และเทวดาทั้งหลาย บางพ่องปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธอันล้ำยิ่ง ข้ามพ้นสิ่งสงสาร บางพ่องปรารถนาเป็นสาวกบารมีผายผ่อง บางพ่องปรารถนาเป็นพระอรหันต์มรรคญาณอันผ่านแผ้ว หมดบาปแล้วสู่นีรพานขอให้ได้ดังคำมักคำปรารถนา แห่งฝูงข้าทั้งหลายทุกตนทุกคน ก็ข้าเทอญ
ประการหนึ่ง ตราบใดฝูงข้าทั้งหลาย นังได้ทั่วระวัฏฏ์ผัดไปมา ในวัฏสงสารแหล่งหล้าขอให้พ้นจากอบายเว้นแวนไกลฮ้อยโยชน์ คำฮ้ายโหดอย่ามี จำเร้ญศรีสุทธะยิ่ง คือเทพไท้สิ่งอินทรา ขอให้มีอายุยืนนานอย่าน้อยให้ได้ฮ้อยเอ็ดวัสสาอย่าพั่ง อย่าได้หลั่งเข้าสู่โมหา ขอให้ฝุงเข้าเกิดมาพร้อมพระเจ้าตนประเสริฐ ซึ่งว่าพระศรีอริยเมตไตรย แม่นว่ามีอันใดขอให้ประกอบชอบเนื้อเพิงใจ สมศรีไวเมียมิ่ง ลูกแก้วกิ่งกับตนวงศาลสายเชื้อชาติ ขอให้ฉลาดฮู้ใจเดียวแม่นว่าฝูงข้าทั้งหลายยังได้ทัวระเทียวไปมา ในวัฏสงสารหลายชนิด อย่าได้พอพ้อปิตุฆาตฮ้ายหมู่เวราแม่นว่าฝูงข้าทั้งหลายจีกมารณาม้างปัญจขันธ์ทั้งหลาย ขออย่าได้มีน้ำมูกน้ำลายเสลด ทุกข์เหตุฮ้ายเวทนาจงให้มรณาโดยชอบ ประกอบด้วยสติจวิตวา ฝูงข้าทั้งหลายตายจากเมืองคน จอให้ไดเมื่อเอาตนเกิดในชั้นฟ้า เลิศตาวะติงสา ยถา ภาเว ภาเว ชาโต ฝูงข้าทั้งหลาย เกิดมาในภาวะที่ใดก็ดี มีหูตาขอให้ใสแจ้งโสต เป็นเงาในฮ้อยโยชน์ก็ให้เห็นเป็นวิตถารแจ้งโสต ธรรมชาติโสภา ผมดำยาวเส้นแลบ พรรณะแจ้งแจบเสมอเทา เลาคิงขาสมเต้า อย่าถ่อยเฒ่าชราการเนื้อคิงบางคอกลมปล้อง บ่เอ้อ้องก็หากดูงาม คนใดเห็นลืมแลงงายหายอยากข้าว ผู้เฒ่าเห็นหายซึ่งพยาธิโรคาท้าวพญาเห็นชมชื่น น ๆ ทั่วชมพู กูณาผายแผ่กว้าง ให้มีช้างม้าฝูงหมู่เงินคำ ให้จำนาทุกชาติ อย่าได้คลาดดังคำมักคาปรารถนา แห่งฝูงข้าทั้งหลาย ทุกตนทุกคน ก็ข้าเทอญ(คำสู่ขวัญพระพุทธรูปใช้ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ คือ ภายหลังวันตรุษสงกรานต์ หรือใช้ในพิธีสมโภชพระพุทธรูปที่สร้างใหม่ก็ได้)

คำสู่ขวัญพระภิกษุสามเณร
ศรี ศรี สิทธิพระพร บวรอติเรก อเนกเตโช มโหราฤกษ์ อธิกะอัทธา อตุลาคุณ พหุลเตโช ชัยะมังคลาดิเรก เอนกศรีสวัสดี ไมตรีจวมีแก่นาค ครุฑ มนุษย์ กุมภัณฑ์ คนธรรมพ์ ยักษ์ อารักขเทวดา สุรา สุรินทร์ อินทร์ พรหมยมราชา สุนักขัตตา สุมังคลา อุตตอมโชค อุตตมดถี อุตตมนีธี อุตตมังคลา มหาศรีวิลาส อินทพาดพร้อมไตรยางค์ พร้อมนาวางคคาดคู่ พร้อมกันอยู่สอนลอน อาทิตย์จรจันทร์นักขัตฤกษ์ อังคารถือมหาชัย พุทธพฤหัสไปเป็นโชคศุกร์ เสาร์โยคว่าวันดี วันดีถีอมุตตโชค วันประสิทธิโยคพร้อมลักขณา ฝูงข้าทั้งหลาย ทั้งหยิงชายน้อยใหญ่อุบาสิกอุบาสิกาทั้งหลาย พร้อมกันมาทุกแห่ง มาตกแต่งขันกราบไหว้และบายศรี สรงโสรจด้วยน้ำ พุทธาภิเษกก็หากแล้ว บัดนี้ฝูงข้าทั้งหลาย หากเพิงประสงค์สิทธิจินตนาแล้ว จึงอธิษฐานให้เป็นพระพร 4 โกฏฐาสปฐมโกฏฐาส อันถ้วนหนึ่งนั้น ขอถวายสมมาบูชาเจ้ากู ตนทรงลีลาอันวิเศษ ในช่วงเขตอาฮาม แถมสมภารทุกสิ่ง ไว้เป็นมิ่งมงคล ให้มีบุญและยศกว้าง อยู่สืบสร้างสมณะธรรมเจ้าตราบต่อเท่าฮ้อยซาวพระวัสสา ก็ข้าเทอญ

ทุติยะ พระพรถ้วนสองสมภารนองเนืองมาก บุญล้นหลากเหลือหลาย ผันผายแผ่กว้าง เป็นที่อ้างแก่โลกโลกาลือชาไปทุกแห่งตกแต่งพร้อมนานา ทั้งพญาแสนหมื่นมาก กราบพื้นบาทา สักการะบูชาเจ้ากู ทุกวันทุกยามก็ข้าเทอญตติยะ พระพรถ้วนสาม ดูงามใสและเฮืองฮุ่ง ปานดั่งแสงสุริยะพุ่งขึ้นมา เขายุคันธรให้ได้แถมนามกรขึ้นเป็นมหาสมเด็จอัคคะบวรราชครู ดูงามศรีใสสะอาด ให้ได้นั่งปราสาทแก้วและเบ็งซอนอาภรณ์หลายแก้วกิ่ง ทุกสิ่งพร้อมเงินทอง หาสาหลายต่างเมืองมาไหว้ มีดอกไม้แก้วและเงินคำ นำมาถวายพร่ำพร้อมมานบน้อมวันทาโรคาอย่ามาต้องให้เจ้ากูได้สอนลูกน้องพอแสนคน ทศพลตนผ่านแผ้ว คือว่าไตรปิฏกแล้วทั้งสาม ก็ข้าเทอญ
จตุตถะ พระพรถ้วนสี่ ให้รู้ที่แจ้งตรัสส่องสรญาณ สมภารเฮืองทั่วโลก ดูเลิศล้ำกว่าเทพาให้ได้ดั่งพระโมคคัลลาสารีบุตร บริสุทธิ์องค์ประเสริฐ เลิศด้วยฤทธิ์บารมีเช้าค่ำ ยิ่งล้ำดตื่มศรัทธาจตุรานาคครุฑ มนุษย์กุมภัณฑ์ คนธรรมพ์ยักษ์ทั้งหลาย อันยายยั้งอยู่ คู่ป่าไม้ไพรพนอม จอมเขาและฮิมน้ำสมุทรสุดแดนแสนโกฏิฮอบขอบจักรวาล ให้ทะยานมาด้วยฤทธา มีเครื่องสักการะบูชาพร่ำพร้อม มานบน้อมประณมกรถวายพร ถวายพรไปอย่าคลาดแคล้ว ให้เลิศแล้วนัยคาถาว่า ชยะคุ ภะวัง ชยะมังคละ ดั่งนี้ ขอให้เจ้ากูมีชัยชนะ พญามารผู้ใจบาป มากราบพิ้นบาทา สักการะบูชาเจ้ากู อยู่สู้วันทุกยาม ก็ข้าเทอญ